December 04, 2012

คอนโดให้เช่า @Ivy River







คอนโดให้เช่า @Ivy River

ขนาด40 ตรม. 1ห้องนอน 1ห้องนั่งเล่น ห้องครัว
แอร์ 2เครื่อง พื้นไม้้ลามิเนท และแกรนิตโต
ระเบียง 2ด้าน เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
เฟอร์นิเจอรพร้อม สิ่งอำนวยความสะดวกครบ
สระว่ายน้ำ ฟิตเนส
บริการเรือ ไป Asiatique
บริการรถ Shuttle Bus ไปสถานี BTS และ Big C

ค่าเช่า 15,000-/m



Click >  image

Apartment for rent located in central Sukhumvit


Nice Apartment for rent located in central Sukhumvit

near BTS Thonglor, Emporium, Channel 3 Maleenon Building

can easily access through Sukhumvit Rd., and Rama IV Rd.


available room 42,46, 50sqm.,
full facilities, fitness, internet WIFI,cable

rent 19,000-21,000-/month
Deposit 2 months, Rent advance 1 month
can rent short and long term
Call 086-5155935 089-4525214


อพาร์ทเมนท์ให้เช่า  ใจกลางสุขุมวิท
ใกล้ BTS ทองหล่อ เอ็มโพเรียม ช่อง3 มาลีนนท์
เข้าออก สะดวก  ได้ทั้งทาง สุขุมวิท พระราม 4

ขนาดห้องพัก 42 46 50 ตรม
สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ฟิตเนส อินเตอร์เนต ไวไฟร์ เคเบิลทีวี

ค่าเช่า 19,000-21,000-/month



click > image





December 03, 2012

ขายที่ดินติดถนนสุขุมวิท-พนัสนิคม ชลบุรี ใกล้แยกพานทอง ทางไปพนัสนิคม

ขายที่ดินติดถนนสุขุมวิท-พนัสนิคม ชลบุรี ใกล้แยกพานทอง  ทางไปพนัสนิคม ใกล้นิคมอมตะ
เนื้อที่ประมาณ  9ไร่
ขาย 29ล้านบาท ไม่แบ่งขาย (ประมาณ ~3,230,000 บาท/1ไร่)
เหมาะทำจัดสรร  หมู่บ้าน ทาวน์เฮาส์ โรงงาน

ไม่รับนายหน้า



December 01, 2012

ให้เช่าคอนโด ลุมพินีพาร์ควิว คอนโดมิเนียม สาทร-พระราม4

ให้เช่าคอนโด ลุมพินีพาร์ควิว คอนโดมิเนียม 
ติดสถานี รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT (อยู่หน้าคอนโด)
วิวมองเห็นสวนลุมพินี

ถนนพระราม 4 เชิงสะพานไทยเบลเยี่ยม ใกล้ ๆ แยกสาทร-วิทยุ 

ห้อง Studio ขนาด 40 ตร.ม. 
วิวห้องสวย มองเห็นสวนลุมพินี

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ ทีวี , ตู้เย็น , Microwave และเฟอร์นิเจอร์ครบ

ในห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่นให้

ค่าเช่า 20,000 บาทต่อเดือน สัญญาขั้นต่ำ 1 ปี มัดจำ 2 เดือน 


Condo for rent, close to MRT Lumpini (at front of condo) 
nice view with Park

Close to RamaIV Rd.-Sathorn,
near BTS Silom,MRT Lumpini,
expressway    

Studio room 40sqm, fully furnish TV refrigerator,Microwave,

Rent 20,000-/month (at least 12months deposit 2months)





November 30, 2012

ประเภทเขตพื้นที่สี


ประเภทของพื้นที่แบ่งออกเป็น 10 ประเภท ดังนี้
  1. เขตพื้นที่สีเหลือง (ย.1-4) ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย
  2. เขตพื้นที่สีส้ม (ย.5-7) ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง
  3. เขตพื้นที่สีน้ำตาล (ย.8-10) ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาหนาแน่นมาก
  4. เขตพื้นที่สีแดง (พ.1-5) ที่ดินประเภทพาณิชย์กรรม
  5. เขตพื้นที่สีม่วง (อ.1-2) ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม
  6. เขตพื้นที่สีเม็ดมะปราง (อ.3) ที่ดินประเภทคลังสินค้า
  7. เขตพื้นที่สีขาวลายเขียว (ก.3-4) ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม
  8. เขตพื้นที่สีเขียว (ก.3-4) ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม
  9. เขตพื้นที่สีน้ำตาลอ่อน (ศ.) ที่ดินประเภทอนุรักษ์
  10. เขตพื้นที่สีน้ำเงิน (ส.) ที่ดินประเภทสถาบันราชการ

November 29, 2012

ที่ดิน ใกล้หาดชะอำ



ที่ดิน ใกล้หาดชะอำ เนื้อที่ 207ตารางวา เป็นแหล่งท่องเที่ยว ใกล้หัวหิน เดินทางสะดวกเหมาะทำบ้านพัก บูติคอพาร์ทเมนท์
ขาย 7.5 ล้านบาท ( ~36,000-/ตารางวา)



Cha am beach, Land for sale, near Cha-am beach,207 sqw., suitable for resort house, boutique apartment,
 price 7.5 ล้านบาท

November 01, 2012

งบประมาณราคาการปรับปรุงบ้าน


หลังจากที่ตรวจสอบสภาพบ้านเรียบร้อย และในระหว่างที่กำลังดำเนินการทำสัญญาต่างๆ เพื่อซื้อบ้านมือสอง เรื่องต่อไปที่จำเป็นจะต้องทำก็คือการวางแผนในการปรับปรุงบ้านซึ่งควรทำก่อนที่เราจะย้ายเข้าไปอยู่ เพราะเมื่อเราย้ายเข้าไปอยู่แล้วจะทำให้การปรับปรุงทำได้ลำบาก ดังนั้นจึงควรใช้ช่วงเวลาในขณะที่กำลังรอการทำธุรกรรมต่างๆ เพื่อวางแผนในการปรับปรุงบ้านมือสองของเราให้พร้อมอยู่

การวางแผนในการปรับปรุงบ้านมือสองนั้น ก็เหมือนกับการวางแผนปรับปรุงบ้านทั่วไปที่ควรต้องเริ่มจากการวางแผนในเรื่องของงบประมาณการซ่อมแซมหรือต่อเติม ว่าจะทำการปรับปรุงในส่วนใดบ้างโดยใช้ข้อมูลเบื้องต้นที่เราบันทึกไว้จากการสำรวจตรวจสอบบ้านมือสอง




การตั้งงบประมาณสำหรับการปรับปรุงหรือต่อเติมบ้านเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและแตกต่างจากการตั้งงบประมาณสำหรับปลูกบ้านใหม่อยู่พอสมควร แต่ก็ไม่ยากจนไม่สามารถเรียนรู้ได้ โดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 วิธีคือ

1. การประมาณราคาอย่างหยาบ
ซึ่งเป็นการประมาณราคาเบื้องต้นโดยใช้ตัวเลขราคาต่อตารางเมตร ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการปรับปรุงบ้านที่มีพื้นที่ขนาด 100 ตารางเมตร เราสามารถคำนวณได้จาก
ขนาดของพื้นที่ปรับปรุง 100 ตารางเมตร X ค่าซ่อมแซมประมาณ 4,000 บาท/ตารางเมตร = 400,000
ตัวเลขค่าซ่อมแซมโดยประมาณเป็นตัวเลขประมาณการตามสถิติที่ได้มีการประเมินกันไว้ ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์การคลาดเคลื่อนถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว



2. การประมาณราคาอย่างละเอียด
เกิดจากการตีราคาตามวัสดุและพื้นที่ปรับปรุงจริง ตามแบบก่อสร้างปรับปรุงพร้อมสเป็ครายละเอียดของวัสดุที่ใช้ อาจมีความคลาดเคลื่อนอยู่ประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผู้ประมาณราคาจะต้องทราบราคาแยกออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ดังนี้

2.1. ค่าวัสดุ เช่น กระเบื้อง สี ท่อประปา ไปจนกระทั้ง อิฐ หิน ปูน ทราย ราคาวัสดุก่อสร้างเป็นราคาซึ่งมีการแปรผันค่อนข้างสูง ขึ้นอยู่กับรูปแบบ และมาตรฐานของแต่ละผู้ผลิต พูดให้ฟังง่ายๆ ก็คือ มีตั้งแต่คุณภาพต่ำราคาถูก ไปจนถึงคุณภาพดีราคาแพง ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยในกระเป๋าของแต่ละคน และสามารถค้นหาราคาได้จากทางอินเทอร์เนต หรือใช้วิธีการพิมพ์รายการทั้งหมดและนำไปให้ร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้างใกล้ๆ บ้านที่เราจะทำการปรับปรุงทำใบเสนอราคากลับมาก็ได้ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็ววิธีหนึ่ง

2.2. ค่าแรง เป็นค่าใช้จ่ายด้านแรงงานของช่าง เช่น ค่าแรงปูกระเบื้อง ค่าแรงทาสี ค่าเดินสายไฟ ค่าแรงนี้แปรผันไม่มากนัก ตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำ และความชำนาญของช่างฝีมือ พอจะประมาณได้ดังนี้
ลักษณะงานค่าแรง
ค่าแรงก่อผนังอิฐมอญครึ่งแผ่น (รวมเสาเอ็นและทับหลัง)100-120 บาท/ตารางเมตร
ค่าแรงก่อผนังอิฐมอญเต็มแผ่น (รวมเสาเอ็นและทับหลัง)170-200 บาท/ตารางเมตร
ค่าแรงฉาบปูนเรียบ70-90 บาท/ตารางเมตร
ค่าแรงปูกระเบื้องพื้น (รวมค่าปูนทรายปรับระดับ)220-280 บาท/ตารางเมตร
ค่าแรงปูพื้นไม้ปาร์เกต์-โมเสก250-280 บาท/ตารางเมตร
ค่าแรงปูพื้นไม้เข้าลิ้น280-330 บาท/ตารางเมตร
ค่าแรงทำผิวพื้น ค.ส.ล. ขัดเรียบ (รวมค่าทำแนวเซาะร่อง)30-60 บาท/ตารางเมตร
ค่าแรงทำผิวทรายล้าง180-200 บาท/ตารางเมตร
ค่าแรงทาสีน้ำ สีน้ำมัน30-35 บาท/ตารางเมตร
ค่าแรงย้อมสีไม้ธรรมชาติ30-40 บาท/ตารางเมตร
ค่าแรงงานฝ้าภายนอกอาคาร (ไม้หรือแผ่นไม้เทียม)130-150 บาท/ตารางเมตร
ค่าแรงฝ้าภายในอาคาร (ฝ้าเรียบ)40-55 บาท/ตารางเมตร
ค่าแรงติดตั้งชักโครก อ่างล้างหน้า200-300 บาท/จุด
ค่าแรงติดตั้งอ่างอาบน้ำ1,500-1,700 บาท/จุด
ค่าแรงติดตั้งอุปกรณ์อื่นๆ ในห้องน้ำโดยเฉลี่ย100-120 บาท/จุด
ค่าแรงเดินสายและติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า150-220 บาท/จุด
ค่าแรงติดตั้งตู้ไฟฟ้า ตู้ควบคุม4,000-5,000 บาท/จุด
ค่าแรงเดินท่อพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว 3 นิ้ว50 บาท/เมตร
ค่าแรงเดินท่อพีวีซี ขนาด 1/2 นิ้ว 2 นิ้ว25 บาท/เมตร
ค่าแรงเดินท่อพีวีซี ขนาด 4 นิ้ว80 บาท/เมตร
ค่าแรงติดตั้งปั๊มน้ำ600 บาท/จุด
ค่าแรงติดตั้งถังบำบัดใต้ดิน1,500 บาท/จุด

ข้อมูลจากหนังสือ Home Improvement



รายการข้างต้นเป็นตัวอย่างค่าแรงบางส่วนที่ใช้งานกันอยู่ทั่วไป โดยที่เราสามารถให้ช่างทำใบเสนอราคาค่าแรงมาให้เราและนำมาเปรียบเทียบกับราคาตามตารางก็จะทำให้เรามีหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจ โดยที่เมื่อรวมราคาค่าวัสดุเข้ากับราคาค่าแรงแล้ว ก็อย่าลืมบวกราคากำไรและค่าดำเนินงานให้ช่างด้วย ซึ่งโดยมากจะคิดราคาอยู่ในราว 12-15 เปอร์เซ็นต์ จากผลรวมของราคาค่าวัสดุและค่าแรงครับ

เรื่อง: มหาสมุทร

ขอขอบคุณ บ้านและสวน

October 31, 2012

ขายที่ดิน พุทธมณฑล สาย5

ขายที่ดิน พุทธมณฑล สาย5 ใกล้ ตลาดดอนหวาย
เดินทางสะดวก

ใกล้ตลาดดอนหวาย
เนื้อที่  39-1-76 ไร่
ราคาขายยกแปลงไร่ละ 3,000,000 บาท (118,320,000) บาท
(แบ่งขายไร่ละ 3,500,000 บาทแบ่ง 10 ไร่ขึ้นไป)

ที่ดิน พุทธมณฑล สาย5

October 01, 2012

ราคากลางซ่อมบ้าน

ราคากลางซ่อมบ้าน เรื่องที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซ่อม...
          อย่างน้อยก็เพื่อให้เราได้รับความเป็นธรรมจากผู้รับเหมาในระดับหนึ่ง

          หมวดรื้อถอน
1.บานประตูไม้ขนาด 0.70-0.90 ม. 1 บาน ราคา 50-100 บาท
2.บานหน้าต่างขนาด 0.70-1.00 ม. 1 บาน ราคา 40-80 บาท
3.วงกบประตูไม้ 1 ช่อง 1 วง ราคา 80-120 บาท
4.วงกบหน้าต่างไม้ 1-2 ช่อง 1 วง ราคา 100-150 บาท
5.วงกบหน้าต่างไม้ 3-4 ช่อง 1 วง ราคา 150-250 บาท
6.กระเบื้องปูพื้นทุกขนาด 1 ตารางเมตร ราคา 70-100 บาท
7.กระเบื้องปูผนังทุกขนาด 1 ตารางเมตร ราคา 70-100 บาท
8.ปาร์เก้ทุกขนาด 1 ตารางเมตร ราคา 50-100 บาท
9.ลอกสีผนังปูนของเดิม 1 ตารางเมตร 60-80 บาท

          หมวดไฟฟ้า1.เต้ารับคู่ 1 ชุด ราคา 20-40 บาท
2.สวิทซ์ไฟฟ้า 1 ชุด ราคา 20-40 บาท
3.สายไฟฟ้า 1 เมตร ราคา 20-40 บาท

          หมวดติดตั้งใหม่1.วงกบประตูเนื้อไม้แข็ง 2”x4” ท้องตลาด พร้อมติดตั้ง
- ขนาดบาน 70 ราคา 800-900 บาท ค่าแรง 120-200 บาท
-ขนาดบาน 80 ราคา 900-1,000 บาท ค่าแรง 130-200 บาท
-ขนาดบาน 90 ราคา 1,000-1,100 บาท ค่าแรง 140-200 บาท
2.บานไม้อัดยางธรรมดา ชนิดไส้ไม้แบบธรรมดา พร้อมติดตั้ง
-ขนาดบาน 70 ราคา 600-700 บาท ค่าแรง 120-200 บาท
-ขนาดบาน 80 ราคา 700-800 บาท ค่าแรง 130-200 บาท
-ขนาดบาน 90 ราคา 800-900 บท ค่าแรง 140-200 บาท
3.บานไม้เทียม HDF ชนิดไส้โปร่ง พร้อมติดตั้ง
-ขนาดบาน 70 ราคา 1,300-1,400 บาท ค่าแรง 150-250 บาท
-ขนาดบาน 80 ราคา 1,400-1,500 บาท ค่าแรง 160-250 บาท
-ขนาดบาน 90 ราคา 1,500-1,600 บาท ค่าแรง 170-250 บาท
4.บานพับประตูขนาด 3”x4” หนาประมาณ 2 มม.
-บานพับโลหะชุบสีบรอนซ์ 1 อัน ราคา 30-40 บาท ค่าแรง 20-30 บาท
-บานพับโลหะชุบสีต่างๆมีแหวนรอง 1 อัน ราคา 45-60 บาท ค่าแรง 20-30 บาท
-บานพับโลหะสเตนเลส 1 อัน ราคา 60-100 บาท ค่าแรง 20-30 บาท
-บานพับโลหะสเตเลสมีแหวน 1 อัน ราคา 80-200 บาท ค่าแรง 20-30 บาท
5.ลูกบิดประตูหัวกลมบอลล์ รวมเจาะรูที่บานและวงกบ
-ผิวชุปโครเมี่ยม 1 ลูก ราคา 150-300 บาท ค่าแรง 60-80 บาท
-ผิวทองรมดำ 1 ลูก ราคา 200-350 บาท ค่าแรง 60-80 บาท
-ผิวสเตนเลส 1 ลูก ราคา 300-650 บาท ค่าแรง 60-80 บาท
6.งานปูกระเบื้อง ไม่รวมกระเบื้อง , กาวยาแนว , คิ้ว PVC
-ปูผนัง รวมปูนกาวที่ใช้เพื่อการยึดติดกระเบื้อง 1 ตารางเมตร ราคา 50-60 บาท ค่าแรง 150-200 บาท
-ฉาบปูนกรีดผิวหยาบรอปูกระเบื้องรวมปูนทราย 1 ตารางเมตร ราคา 65-90 บาท ค่าแรง 90-120 บาท
-ปูพื้น รวมปูนทรายปรับระดับ + ปูนกาว 1 ตารางเมตร ราคา 120-180 บาท ค่าแรง 200-250 บาท
7.งานทาสีผนัง ราคาถังละ 1,350-1,700 บาท 18 ลิตร รวมทาสีรองพื้นปูเก่า
-ทาสีรองพื้นผนังภายในบนผนังปูน+ทาสีทับหน้า 2 รอบ 1 ตารางเมตร ราคา 50-65 บาท ค่าแรง 40-60 บาท
-ทาสีรองพื้นผนังภายนอกบนผนังปูน+ทาสีทับหน้า 2 รอบ 1 ตารางเมตร ราคา 70-80 บาท ค่าแรง 50-70 บาท (ไม่รวมค่าตั้งนั่งร้าน)
-ทาสีน้ำมัน วงกบ+บานไม้ 1 ชุด ราคา 400-500 บาท ค่าแรง 200-300 บาท (แกลลอนละ 480-550 บาท)
8.ระบบไฟฟ้า PANASONIC หรือ B-TICINO หน้ากากสีขาวนวลของใหม่ พร้อมติดตั้ง
-เต้ารับคู่พร้อมฝา 1 ชุด ราคา 200-220 บาท ค่าแรง 70-80 บาท
-บล็อกลอย 1 กล่อง ราคา 15-20 บาท ค่าแรง 20-30 บาท
-เดินสายไฟ VAF 2x2.5/1.5G 1 เมตร ราคา 30-35 บาท ค่าแรง 25-360 บาท
-เดินสายไฟ THW 2x2.5/1.5G ในท่อ PVC สีเหลือง 1 เมตร ราคา 50-60 บาท ค่าแรง 40-50 บาท
-สวิทซ์ ปิด-เปิด พร้อมฝา 1 ชุด ราคา 50-55 บาท ค่าแรง 40-45 บาท
-สายไฟ VAF 2x1.5 ตีกิ๊บเดินลอย 1 เมตร ราคา 20-25 บาท ค่าแรง 15-20 บาท
-สายวงจรแสงสว่าง VAF 2x2.5 มม. ตีกิ๊บลอย 1 เมตร ราคา 30-35 บาท ค่าแรง 20-30 บาท
-สายวงจรเต้ารับ VAF 2x4/2.5 มม. ตีกิ๊บลอย 1 เมตร ราคา 45-55 บาท ค่าแรง 25-35 บาท
-BREAKER สแควร์ D ขนาด 16-22 แอมป์ 1 ลูก ราคา 110-125 บาท ค่าแรง 30-40 บาท
-ติดตั้งดวงโคมทั่วไป 1 ชุด ค่าแรง 50-60 บาท
9.เทคอนกรีตวางบนดิน ผูกเหล็ก 6 มม. ตาราง 0.20x0.20 เมตร รวมปรับทรายรองพื้นหนา 3-5 ซม. ก่อนเท
-หนา 7.5-8 ซม. ขัดผิวหยาบ 1 ตารางเมตร ราคา 500-600 บาท ค่าแรง 300-400 บาท
-หนา 9-10 ซม. ขัดผิวหยาบ 1 ตารางเมตร ราคา 600-700 บาท ค่าแรง 350-450 บาท
-หนา 7.5-8 ซม. ผิวขัดมัน 1 ตารางเมตร ราคา 600-700 บาท ค่าแรง 400-500 บาท
-หนา 9-10 ซม. ผิวขัดมัน 1 ตารางเมตร ราคา 700-800 บาท ค่าแรง 500-700 บาท
          รู้แบบนี้แล้ว เราจะได้เตรียมค่าใช้จ่ายให้เพียงพอต่อการซ่อมแซม ทั้งยังไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้รับเหมาที่คอยโก่งราคาอีกด้วย
**โดยราคาดังกล่าวนี้ เป็นราคากลางโดยคร่าวเท่านั้น ทั้งนี้ต้องเปรียบเทียบจากราคาวัสดุ ณ วันที่ทำการตกลง และต้องอยู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ราคาดังกล่าวจะขึ้นหรือลงก็ต้องขึ้นอยู่กับระยะในการเดินทางของผู้รับเหมาด้วยเช่นกัน**

ขอขอบคุณ http://thaicontractor.com

September 29, 2012

ตรวจสภาพช่องเปิด บ้านมือสอง

บ้านและสวน 11 มีค 2554

สิ่งแรกที่เราต้องพิจารณาสังเกตก็คือ ความสมบูรณ์ของเส้นรอบรูปของช่องเปิดทุกช่องต้องได้ระดับได้ดิ่ง ไม่บิดเบี้ยว ไม่โย้หรือเอียงไปทางใดทางหนึ่ง การสังเกตจากระยะไกลๆ จะทำให้สามารถสังเกตความผิดปกติได้ดียิ่งขึ้น หากสังเกตเห็นความผิดปกติแสดงว่าอาจเกิดจากการที่ไม่ได้ทำ เสาเอ็น – ทับหลัง รอบช่องวงกบ หากต้องการแก้ไขก็คงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากเลยทีเดียว เพราะคงต้องทุบผนังเพื่อทำ เสาเอ็น – ทับหลัง กันใหม่เลยทีเดียว



สำหรับวงกบอลูมิเนียมควรตรวจสอบดูว่ามีรูระบายน้ำบริเวณด้านนอกหรือไม่ สาเหตุที่ต้องตรวจดูก็เพราะว่าวงกบอลูมิเนียมนั้นมีหลายแบบ หลายราคา วงกบที่ราคาถูกมักจะไม่มีการออกแบบช่องระบายน้ำเอาไว้ เมื่อเวลาที่ฝนตกก็จะทำให้น้ำซึมเข้าไปอยู่ในวงกบ และเมื่อฝนตกหนักๆ เข้าก็มีโอกาสที่น้ำฝนอาจไหลซึมผ่านวงกบเข้ามาภายในบ้านได้ หรือมีอีกวิธีที่สามารถตรวจสอบได้โดยไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปดูวงกบที่ด้านนอกของบ้านก็คือ ให้สังเกตหาคราบน้ำบริเวณผนังใต้วงกบ หากพบร่องรอยคราบน้ำ ก็แสดงว่าวงกบนั้นต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน



สำหรับวงกบที่ทำมาจากเหล็ก (ส่วนใหญ่มักจะเป็นวงกบประตู) ให้พยายามสังเกตหาร่องรอยของสนิม ซึ่งอย่างที่รู้กันว่าสนิมมักจะเกิดจากการที่เหล็กถูกความชื้นอยู่เป็นประจำ ดังนั้นหากพบว่ามีวงกบที่เป็นเหล็กภายในบ้านดังกล่าวอยู่ในจุดที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะโดนความชื้น ก็ควรเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนวงกบไว้ด้วยเช่นกัน

ส่วนวงกบ PVC ปัญหาที่พบบ่อยก็คือเรื่องของความแข็งแรงทนทาน เมื่อใช้งานไปสักระยะจะพบว่าบานประตูที่ติดตั้งอยู่นั้นมักจะโยกเยกไปมาได้ง่าย ดังนั้นวงกบ PVC ก็เป็นปัจจัยลบอีกอย่างหนึ่งซึ่งควรชั่งใจไว้ด้วยเช่นกันครับ



ถัดไปก็คือกรอบของบานประตูหรือหน้าต่าง ซึ่งเราเรียกว่า “วงกรอบ” วัสดุวงกรอบที่พบเห็นบ่อยๆ ก็คือไม้ และอลูมิเนียม การตรวจมีวิธีการตรวจสอบคล้ายๆ กันกับวงกบคือ ต้องได้ระดับ ไม่บิดเบี้ยวหรือโก่งงอ และโดยปกติแล้วเมื่อปิดบานประตูหรือหน้าต่างแล้ว วงกรอบของบานจะต้องแนบสนิทกับวงกบ ไม่ควรมีช่องว่างระหว่างวงกรอบกับวงกบ หากมีช่องว่างอาจจำเป็นต้องมีการเปลี่ยน หรือติดตั้งบานพับเพิ่มเติมครับ



ส่วน “ลูกฟัก” ซึ่งจะอยู่ในวงกรอบ ก็ให้ตรวจสอบว่าไม่ควรมีช่องว่างเกิดขึ้นระหว่างลูกฟักกับวงกรอบ และควรอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่มีรอยแตกร้าว นอกจากนี้ก็ควรตรวจสอบซิลิโคนหรือยางซิลิโคนที่ยึดลูกฟักเข้ากับวงกรอบว่าเสื่อมสภาพหรือไม่ เพราะเมื่อซิลิโคนหรือยางซิลิโคนโดนแดดโดนฝนไปนานๆ ก็จะเสื่อมสภาพ และก็อาจเป็นสาเหตุให้น้ำฝนสามารถไหลซึมเข้ามาในบ้านได้เช่นกัน

สำหรับหน้าต่างบานเกล็ดปรับมุมก็สามารถตรวจสอบได้ด้วยการทดลองหมุนปรับบานเกล็ดว่าสามารถปรับขึ้น – ลงจนสุดได้หรือไม่ หากไม่ได้ก็อาจต้องมีการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนชุดอุปกรณ์บานเกล็ด 



สำหรับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์อื่นๆ อย่างเช่น กลอน ขอสับ ลูกบิด บานพับ การตรวจสอบก็ให้ลองเปิด – ปิดประตูหรือหน้าต่างนั้นดู อันที่จริงในการตรวจสอบรับงานบ้านซึ่งสร้างใหม่เราจะตรวจสอบด้วยการเปิด – ปิดประตูหน้าต่างสุดแรงเพื่อเป็นการตรวจสอบ แต่ในกรณีของบ้านมือสอง เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เราคงทำได้แค่เพียงลองออกแรงโยกนิดหน่อยก็พอครับ



อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญและไม่ควรมองข้ามก็คือ เรื่องของเหล็กดัดกันขโมยซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับบ้านทุกหลังไปเสียแล้วในยุคปัจจุบัน แต่อย่างที่รู้กันว่าเหล็กดัดนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษมหาศาลอยู่ในตัว มีอุทาหรณ์ให้เห็นกันหลายครั้งแล้ว ดังนั้นการตรวจสอบอาจไม่ใช่เรื่องของการตรวจสอบความแข็งแรง แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยเป็นหลัก ซึ่งเราควรทำการบันทึกภาพ และตำแหน่งไว้เพื่อสอบถามกับสถาปนิกในภายหลังจะเป็นการดีที่สุดครับ

บรรณาธิการเว็บไซต์บ้านและสวน

หนังสือ คู่มือรับมือน้ำท่วม

หนังสือ คู่มือรับมือน้ำท่วม โดย บ้านและสวน

http://www.baanlaesuan.com/fair2011/FloodBook/BaanlaesuanFloodBook.pdf

ทำเนียบ วัสดุก่อสร้าง 2555 E-Book

หนังสือทำเนียบ วัสดุก่อสร้าง 2555 E-Book  ไฟล์ pdf 872MB
Download ที่

http://www.mediafire.com/?ew4743afwz9gntn


ทำเนียบวัสดุก่อสร้าง

http://www.thaibuild.com/

September 14, 2012

แปลงหน่วยขนาด ที่ดิน

แปลงหน่วยขนาด ที่ดิน

1ไร่ = 400ตรว
1ไร่=4งาน
1งาน= 100 ตรว

 1ตรว=4ตรม

September 04, 2012

ขายคอนโด รัชดาภิเษก 13


คอนโด รัชดาภิเษก 13
ใกล้ MRT ใกล้ เซ็นทรัล พระราม9 โรบินสัน เอสพลานาด
ใกล้ทางด่วน  เดินทางสะดวก ใจกลางเมือง

อาคารคอนโดสไตล์ British Collagen
ผังห้องชุดเป็นกลุ่มแบบ คลัสเตอร์กลุ่มละ 4, 8 ยูนิต
สระว่ายน้ำ
Triple securities 24 hours




พื้นที่ห้อง 43.8 ตรม . 1ห้องนอน 1ห้องน้ำ 1ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก
และห้องครัว ตกแต่งพร้อม น่าอยู่
เฟอร์นิเจอร์ครบครัน พร้อมอยู่
แอร์ 2เครื่อง

ห้องน้ำ Tempered glass shower พร้อมเคาน์เตอร์หินแกรนิต สุขภัณฑ์ครบชุด

พื้นห้องปูด้วยพื้นไม้ลามิเนตสีธรรมชาติ


ทำเลสวย  เห็นวิวมุมสวนหย่อม



ขาย 3ล้าน








August 24, 2012

จุฬาฯแนะประชาชนย่านพื้นที่รับน้ำในกทม. รีบถมที่ก่อนผังเมืองใหม่บังคับใช้!




ผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาเคหการ จุฬาฯ แนะประชาชนที่อยู่ในเขตพื้นที่รับน้ำ ตามผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่ ที่กำลังจะประกาศใช้ ต้องรีบถมที่ก่อนกฎหมายบังคับ มิเช่นนั้นหมดสิทธิ์ถมแน่ ชี้ผังเมืองใหม่กระทบหนัก หลายพื้นที่ใช้งานแทบไม่ได้ ย่านถนน “รามอินทรา-สายไหม-สะพานควาย-อนุสาวรีย์” กระอัก เชื่ออาคารสูงเดิมได้รับประโยชน์เต็มๆ ขยับค่าเช่าเพิ่มได้ 30-50% ด้านจุฬาฯ ยื่นคำร้องค้านเหตุกระทบแผนพัฒนาที่ดินจุฬาคอมเพล็กซ์สูง 30 ชั้นล้มแน่ ด้าน กทม.บอกปิดรับคำร้องแล้ว ใครไม่ยื่นแปลว่ายอมรับผังเมืองใหม่ กทม.
     
       ผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้อย่างช้าไม่เกินกลางเดือนพฤษภาคมปี 2556 ปัจจุบันได้ดำเนินงานมาเกินครึ่งทางแล้ว โดยผ่านขั้นตอนการรับคำร้องจากประชาชนสู่ขั้นตอนพิจารณาคำร้อง
     
       อย่างไรก็ดี ผังเมืองรวมฉบับนี้มีประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงกันในแวดวงนักวิชาการและกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ถึงรายละเอียด ข้อกำหนดในการใช้พื้นที่ โดยเฉพาะการกำหนดขนาดถนนให้กว้างขึ้น จนบางพื้นที่ไม่สามารถพัฒนาเป็นอาคารพาณิชย์ อาคารสำนักงานได้
     
       ดังนั้น หากผังเมืองรวม กทม.ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามที่มีการร้องขอไปก็จะกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ และความเป็นอยู่ประชาชนในอนาคตอย่างแน่นอน
     
       “กทม.เปิดรับคำร้องถึงวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมาเท่านั้น หากประชาชนผู้ได้รับผลกระทบไม่ไปยื่นคำร้องก็ต้องปฏิบัติตามที่ร่างผังเมือง กทม.ฉบับใหม่ได้กำหนดไว้ เพราะถือว่าเจ้าของที่ดินไม่ศึกษารายละเอียดของผังเมืองเอง” แหล่งข่าวจากสำนักผังเมือง กทม.ระบุ
     
       ส่วนคำร้องที่มีการยื่นมานั้น สรุปได้ 2 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย 1. ประเด็นเรื่องแผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน อาทิ ขอเปลี่ยนแปลงสีในผังเมืองรวมให้เข้มข้นขึ้น หรือให้เบาบางลง, ขอแก้ไขข้อกำหนดให้สามารถสร้างอาคารประเภทต่างๆ และขนาดต่างๆ ได้ 2. ผลกระทบของถนนตามแผนผังโครงการคมนาคมและขนส่ง เพราะเจ้าของที่ดินเกรงว่าจะได้รับผลกระทบจากแนวเวนคืนที่ในอนาคต เป็นต้น
     
       5 พื้นที่หลักเปลี่ยนการใช้กระทบภาพรวมกทม.
     
     
       ม.ร.ว.เปรมศิริ เกษมสันต์ ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ผังเมืองรวมฉบับใหม่นี้มีการปรับเปลี่ยนการใช้ที่ดินทั้งสิ้น 34 บริเวณ แต่มีเพียง 5 พื้นที่ที่ส่งผลต่อภาพรวมของ กทม. ประกอบด้วย
     
       1. บริเวณศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ได้มีการเพิ่มความเข้มข้นในการพัฒนาจากสีเหลืองเป็นสีส้มและสีแดงบางส่วน
       2. ศูนย์ชุมชนมีนบุรี พื้นที่ตามแนวสายทางรถไฟฟ้า 2 สาย มีการเปลี่ยนแปลงแผนผังตามตำแหน่งสถานีรถไฟฟ้า เพื่อรองรับกิจกรรมพาณิชยกรรม เพิ่มความเข้มข้นในการพัฒนา
       3. พื้นที่บริเวณย่านบางกะปิและย่านลาดกระบัง (Airport Link) ในส่วนของพื้นที่โดยรอบสถานีที่มีการก่อสร้างแล้ว และปรับเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่พาณิชยกรรม แต่มีความเข้มข้นแปรผังตามศักยภาพของที่ตั้ง และสภาพทางภูมิประเทศ
       4. เขตจอมทอง ที่ตั้งศูนย์ตากสินเดิมที่มีการยกเลิก จึงลดความเข้มข้นของการพัฒนาลง
       5. เขตบางขุนเทียนฝั่งใต้สุด เป็นพื้นที่รองรับการป้องกันน้ำท่วมและการกัดเซาะจากน้ำทะเล จึงเปลี่ยนเป็นพื้นที่อนุรักษ์ชนบท และการเกษตรกรรมแทน
     
       ในการปรับเปลี่ยนผังเมืองรวมครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากการที่สำนักผังเมืองได้ประเมินผลผังเดิม พ.ศ. 2549 พบว่า สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจและการลงทุนโดยภาครัฐทำให้เมืองมีความพร้อมในการพัฒนาเพิ่มขึ้นหลายบริเวณ รวมถึงผัง กทม.ใหม่จะพิจารณาถึงด้านกฎหมาย หรือข้อกำหนดบางส่วน ที่ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในทางปฏิบัติ รวมถึงพื้นที่บางแห่งได้มีระบบขนส่งมวลชนเพิ่มขึ้นในหลายบริเวณ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และสิ่งแวดล้อมของเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป และส่งผลให้เกิดการพัฒนาเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
     
       “ผังเมืองฉบับใหม่ จะมีผลต่อประชาชนทั้งในแง่ของผู้อยู่อาศัยและเจ้าของที่ดิน จะสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ส่วนเจ้าของที่ดินจะสามารถพัฒนาที่ดินได้มากขึ้น เพราะมีระบบขนส่งมวลชน และโครงสร้างพื้นฐานเข้าถึง แม้ที่ดินบางแปลงจะลดความเข้มข้นลง แต่เป็นการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา ” ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กทม. กล่าว
     
       ชี้ผังเมืองไม่เอื้อประชาชน กระทบอ่วม!
     
     
       ขณะที่ ผศ.อัศวิน พิชญโยธิน อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาเคหการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ภาพรวมของผังเมืองรวม กทม.ฉบับนี้หากยังไม่มีการแก้ไขว่า จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์ และความเป็นอยู่ประชาชนเป็นอย่างมาก
     
       “ผลกระทบส่วนใหญ่จะเป็นไปในทิศทางที่จากผังเดิมพื้นที่ใช้งานจะสามารถสร้างได้ แต่ผังใหม่กลับสร้างไม่ได้ โดยเฉพาะอาคารพาณิชย์ สำนักงาน ในตัวเมืองเกือบไม่ได้เลย สืบเนื่องมาจากความกว้างของถนนที่ต้องวัดจากปากซอยถึงก้นซอย”
     
       ตัวอย่างเช่น ซอยรามอินทราฝั่งเหนือ ถึงถนนสายไหม กำหนดว่าถ้าสร้างอาคารพักอาศัยตั้งแต่ 1,000-1,999 ตารางเมตร พื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย ย.3 สีเหลือง จะต้องสร้างบนถนนกว้างถึง 30 เมตร นับจากปากซอยถึงก้นซอย ทั้งนี้เป็นระยะทางที่ยาวมาก และในบริเวณนั้นมีถนนที่กว้างเพียง 6-10 เมตรเท่านั้น หากเป็นตามที่กำหนดก็ไม่สามารถสร้างได้เลย เพราะการจะไปขยายถนนตลอดทั้งสายเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ จึงกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถสร้างได้ในที่สุด และเชื่อว่าประชาชน หรือผู้ถือครองพื้นที่บริเวณนั้นไม่ทราบถึงผลที่จะตามมา หรือไม่ได้ศึกษา จนอาจไม่ได้ยื่นคำร้อง ทำให้รู้ตัวอีกทีก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว, เดิมแถวลาดพร้าวบางส่วน ถนนเพียง 10 เมตรก็สร้างอาคารได้ 9,999 ตารางเมตร แต่ผังใหม่ต้อง 30 เมตรถึงจะได้
     
       บริเวณพื้นที่สีเหลืองมีประมาณ 120 บริเวณ และกว่า 70 บริเวณ ประสบปัญหาเรื่องขนาดของถนน, บริเวณสะพานควาย ถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนต้องกว้างเกิน 30 เมตรตลอดสาย จึงจะสร้างสำนักงานขนาดใหญ่ได้ แต่เมื่อสำรวจพบว่าบริเวณบางส่วนของสายนี้กลับมีถนนกว้างเพียง 28 เมตร จึงไม่สามารถสร้างสำนักงานขนาดใหญ่ได้เลยตลอดสาย แต่สร้างที่อยู่อาศัยได้
     
       ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ใน กทม.ไม่สามารถสร้างอาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้เลย เนื่องจากข้อกำหนดของความกว้างของถนนในผังเมืองรวม กทม.ฉบับนี้
       ส่วนของบางพื้นที่ฝั่งธนบุรี มีนบุรี ลำลูกกา อาจทำได้เพียงสร้างบ้านเดี่ยวเท่านั้น หรือกรณีทาวน์เฮาส์แถวฝั่งธนฯ บางส่วน ชานเมืองตอนเหนือ บางส่วนของมีนบุรี คลองสามวา ฯลฯ ที่มีพื้นที่สีเหลือง ต้องสร้างบนพื้นที่ 20 ตารางวา จากเดิมที่ให้สร้างได้ 16 ตารางวา ราคาก็จะแพงขึ้น รวมถึงการกำหนดให้บ้านแฝดในพื้นที่ ย.2 ต้องมีขนาดแปลงที่ดินไม่น้อยกว่า 50 ตารางวา จากเดิม 35 ตารางวา ซึ่งในส่วนของสุวรรณภูมิถึงมีนบุรีมีทั้งซ้าย และขวา ประมาณกว่า 25,000 ไร่ และไม่สามารถสร้างคอนโดได้
     
       นอกจากนี้ยังส่งผลต่อพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ก่อนหน้านี้ทางจุฬาฯ ได้ว่าจ้างให้คนออกแบบพื้นที่ใช้งานทั้งหมดรวม 70 ล้านบาท ที่รวมถึงการจัดสรรเรื่อง คอนโด, ออฟฟิศ ฯลฯ แต่ผังเมืองรวม กทม.ใหม่ หากมีการกำหนดใช้ตามนั้น ก็จะส่งผลให้ไม่สามารถก่อสร้างออฟฟิศสูง 30 ชั้นได้ เพราะกำหนดให้ต้องมีความกว้างของถนน 30 เมตร ที่อยู่อาศัยสร้างไม่เกิน 9,999 ตารางเมตร ต้องถนนเกิน 16 เมตร แต่เดิมถนนจะอยู่ที่ 6-8 เมตร เท่านั้น ผศ.อัศวิน พิชญโยธิน ย้ำว่า ผังเมืองฉบับใหม่นี้ต้องดูในรายละเอียดแต่ละประเภทอีกครั้ง ซึ่งจุฬาฯ ได้ยื่นคำร้องไปแล้ว ต่างจากพื้นที่ใจกลางเมือง อาทิ สาทร สีลม สุขุมวิท ฯลฯ ที่ได้ร้องเรียนก่อนหน้านั้น และมีการแก้ไขเรื่องข้อกำหนดความกว้างของถนนลง จึงสามารถสร้างที่อยู่อาศัยได้ และจะส่งผลให้ที่ดินใจกลางเมืองราคาสูงขึ้น
     
       “ประชาชนชั้นกลางจะซื้อทาวน์เฮาส์ หรือคอนโดในเมืองก็ลำบากขึ้น ส่วนของห้องเช่าก็สามารถขึ้นราคาได้ 30-50% เพราะว่าประชาชนไม่มีทางเลือก ในส่วนของเจ้าของที่ดินที่ได้รับผลกระทบจนไม่สามารถนำไปสร้างอาคารได้เต็มที่แนะนำให้จำนองกับธนาคาร”
     
       อีกหนึ่งประเด็นที่ดูเหมือนจะเอื้อประโยชน์แก่ประชาชน คือเรื่องของการสร้างที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้า จากเดิมที่นับจุดศูนย์กลาง อันใหม่นับจากขอบชานชาลาจึงจะได้ประโยชน์มากขึ้นในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะคอนโด แต่เมื่อดูในรายละเอียดจะพบว่า การเอื้อประโยชน์ที่อยู่ในรอบรัศมี 500 เมตร ถนนกว้างเพียง 6 เมตรก็พอ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อชานชาลานั้นเปิดใช้งานแล้วเท่านั้น ซึ่งต้องรอจนกว่าจะเปิด ไม่สามารถพัฒนาเพื่อรองรับได้ หากต้องการสร้างก่อนก็ต้องใช้กฎตามปกติ ในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งต้องกว้างเกิน 30 เมตร
     
       เปิดพื้นที่ Flood way
     
     
       ในส่วนพื้นที่รับน้ำ หรือ Flood way นั้น ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กทม.ได้นำผลการศึกษาเรื่องการจัดการทรัพยากรน้ำ ป้องกันน้ำท่วมและการระบายน้ำ พร้อมการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเล
     
       มาบูรณาการเข้าไปในผังเมืองรวมนำไปสู่การทำงานแบบบูรณาการของ 3 หน่วยงานภายในของ กทม. ทั้ง สำนักผังเมือง สำนักสิ่งแวดล้อม และสำนักการระบายน้ำ ซึ่งจะมีด้วยกัน 3 แผนผัง ดังนี้
     
       1. แผนผังแสดงที่โล่ง 5 ประเภทดังนี้ แบบแรก ที่โล่งเพื่อการนันทนาการและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม, พื้นที่โล่งเพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมบริเวณริมถนนและริมแม่น้ำและลำคลอง, ที่โล่งเพื่อการสงวนรักษาสภาพการระบายน้ำตามธรรมชาติ, ที่โล่งพักน้ำเพื่อการป้องกันน้ำท่วม และที่โล่งเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมชายฝั่งทะเล ซึ่งผังแสดงที่โล่งจะส่งเสริมให้รักษาสภาพแวดล้อมเพื่อการทำหน้าที่เป็นที่โล่งและที่รับน้ำของ กทม.อย่างสมบูรณ์ และไม่สนับสนุนให้พัฒนาด้านการก่อสร้างอาคาร
       2. แผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน เป็นผังที่ไม่ส่งเสริมให้พัฒนาที่ดินอย่างเข้มข้นในบริเวณที่ถูกกำหนดเป็นที่โล่ง
       3. แผนผังแสดงโครงการกิจการสาธารณูปโภค เป็นแผนผังที่ว่าด้วยระบบคลองและระบบระบายน้ำ
     
       สำหรับพื้นที่ Flood way จะถูกกำหนดไว้ทั้งสองฝั่งของ กทม. เป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบท และเกษตรกรรม เป็นพื้นที่โล่งให้มากที่สุด ก่อสร้างอาคารให้น้อยที่สุด เพื่อสนับสนุนการรับน้ำจากแนวเหนือสู่แนวใต้ และลงทะเลอ่าวไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่
     
       ส่วนพื้นที่ใจกลางเมือง กระจายออกเป็นพื้นที่เล็กๆ ตามสวนสาธารณะ และบึงต่างๆ พื้นที่โล่งกำหนดไว้เป็นพื้นที่แก้มลิง หรือ Retention Area เพื่อรองรับการหน่วงน้ำก่อนระบายไปตามระบบการระบายน้ำ เช่น บึงหนองบอน, สวนเสรีไทย, บึงมักกะสัน, บึงพระราม 9, บึงโรงงานยาสูบ, บึงลำพังพวย (การเคหะแห่งชาติ)
     
       ขณะเดียวกันพื้นที่รับน้ำนั้นจะประกอบด้วย 1. ในฝั่งตะวันออกของ กทม. จะมีพื้นที่บางส่วนของเขตคลองสามวา เขตมีนบุรี และเขตลาดกระบัง เป็นที่โล่งขนาดใหญ่ 2. ในฝั่งตะวันตกตอนเหนือ ประกอบด้วยพื้นที่บางส่วนของเขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน และเขตบางแค เน้นการอยู่อาศัยแบบหนาแน่นน้อย 3. ในฝั่งตะวันตกทางตอนใต้ บริเวณเขตบางขุนเทียน บริเวณที่โล่งใช้พักน้ำ และที่โล่งเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมชายฝั่งทะเล เน้นการป้องกันน้ำท่วมและหน่วงน้ำ 4. พื้นที่แก้มลิง เป็นการจัดหาพื้นที่รับน้ำขนาดเล็ก กระจายในพื้นที่ใจกลางเมือง เพราะการจะหาพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อใช้หน่วงน้ำเป็นเรื่องยาก
     
       ในประเด็นพื้นที่ที่ถูกกำหนดเป็นพื้นที่รับน้ำนั้น ผศ.อัศวิน พิชญโยธิน ระบุว่า พื้นที่โล่งที่กำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำ เป็นทางน้ำไหล หรือ Flood way ผังใหม่กำหนดว่าห้ามถมที่ หากน้ำมาต้องท่วม ดังนั้น หากมีการก่อสร้างก็ไม่สามารถถมที่ให้สูงได้ หรือชาวบ้านที่อยู่เดิมก็ไม่สามารถถมเพื่อกันน้ำท่วมบ้านได้ แนะนำให้ชาวบ้านรีบถมที่ของตนก่อนที่ผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้
     
       กทม.เพิ่ม Flood way ยาก
     
     
       ส่วน เชตวัน อนันตสมบูรณ์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ระบุว่า การจะเพิ่มฟลัดเวย์ในพื้นที่ กทม.เป็นเรื่องยาก จะส่งผลกระทบต่อประชากรจำนวนมาก เพราะพื้นที่ในกรุงเทพฯ มีจำกัด และมีความหนาแน่นมากอยู่แล้ว ทางผู้วางผังเห็นว่าควรคงพื้นที่และกำหนดการใช้แบบเดิมไว้ หรืออาจเพิ่มขึ้นนิดหน่อย และไปพัฒนาแม่น้ำ ลำคลอง ให้ใช้งานได้มีประสิทธิภาพแทน เชื่อว่าในกรุงเทพฯ ที่มีจำนวนแม่น้ำ ลำคลองกว่า 200-300 คลอง หากได้รับการดูแลให้มีสภาพที่ดี ก็จะสามารถรับน้ำได้มากพอสมควร
     
       แต่หากมีปริมาณฝนตก หรือมีน้ำฝนแบบปี 2554 เชื่อว่าสามารถรองรับได้แน่นอน แต่ต้องดูการบริหารจัดการน้ำ การกั้นทางน้ำประกอบด้วย เพราะหากมีการกั้นทางน้ำ เมื่อเวลาน้ำมาจึงมีปริมาณมากและแรง แต่หากปล่อยไปตามธรรมชาติของทางน้ำ อาจมีการท่วมปริ่มๆ แต่ไม่เยอะมาก ไม่สูงมาก
     
       อีกหนึ่งแนวทางที่ส่งผลต่อการระบายน้ำ ซึ่งทางรัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหา โดยขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณาสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ที่บุกรุกคูคลอง ควบคู่ขนานกันไป และอยู่ระหว่างการหาพื้นที่สร้างอาคารที่อยู่ของผู้บุกรุก ซึ่งวางไว้ว่าจะมีหลายพื้นที่ตามความเหมาะสม แต่จะไม่ไปไกล จะอยู่ในพื้นที่ที่สะดวกต่อการทำมาหากิน เดินทางสะดวกสบาย และคาดว่าจะอยู่ในรูปแบบของคอนโด หรืออาคารมากกว่า
     
       ทั้งนี้ การจัดพื้นที่ให้กับผู้ที่บุกรุกคูคลองจะเป็นการจัดระเบียบให้แก่ กทม.ซึ่งบางแม่น้ำลำคลองใน กทม. เป็นที่ท่องเที่ยวได้ หากมีการจัดการที่ดี สามารถเชื่อมต่อกันได้ และแก้ไขปัญหาการบุกรุก และแก้ปัญหาน้ำไม่ท่วมได้ด้วย
     
       “ส่วนของการทำฟลัดเวย์ในผัง กทม.ใหม่ยังคงพื้นที่เดิม เหมือนผังเดิมอยู่ เนื่องจาก กทม.ได้ดำเนินการวางผังเดินหน้าไปไกลแล้ว จะย้อนกลับมาอีกไม่ได้ เพราะเมื่อผ่านกรรมการผังเมืองแล้ว จะทำอะไรเพิ่มไม่ได้ นอกจากประชาชนจะยื่นคำร้องเข้ามา”
     
       ผังเมืองรวมทั้งประเทศต้องมีผัง Flood way
     
     
       รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ระบุอีกว่า ผังเมืองรวมใหม่ของจังหวัดอื่นๆ ที่ยังไม่ได้จัดทำ จากนี้ไปจะต้องทำผังป้องกันน้ำท่วมขึ้นมาประกอบอีกผังหนึ่งด้วย ดังนั้นจะมี 1. แผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นสีๆ 2. เป็นเรื่องของถนน 3. จะมีอีกแผ่นหนึ่งที่เกี่ยวกับแก้มลิง ฟลัดเวย์ โดยจะทำต่างจังหวัดก่อน ซึ่งขณะนี้จังหวัดพะเยาเสนอเข้ามา ทางกรมการผังเมืองให้กลับไปทำผังน้ำท่วมมาด้วย ซึ่งต่อไปจะมีเรื่องนี้ตลอด และในอนาคตเมื่อศึกษาลึกเข้าไปในพื้นที่ก็จะพัฒนาไปดูเรื่องอื่นๆ ตามความเหมาะสมในพื้นที่นั้นๆ อาทิ พื้นที่เสี่ยงภัยเรื่องดินถล่ม
     
       โดยเมื่อพัฒนา ศึกษาผังเมืองชัดเจน ลงรายละเอียดแต่ละพื้นที่ ภาพที่จะออกมาชัดเจน อย่างเรื่องการป้องกันน้ำท่วมที่ถูกต้องชัดเจนในผังจะบอกระดับดิน ที่ไหนไม่ควรมีโรงงานอุตสาหกรรม หรือบริเวณที่ตั้งโรงงานอยู่เดิมจะบอกว่าเหมาะสมที่จะตั้งหรือไม่ หากไม่เหมาะเจ้าของจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง ว่าจะยอมรับสภาพ หรือย้ายออกจากพื้นที่
     
       “กทม.ถือว่าหนาแน่นมาก การจะขยายถนนสักเส้นก็ลำบาก แม้จะใช้การเวนคืนที่ดินได้ก็ตาม ในส่วนของการบริหารจัดการก็จะยากขึ้น สาธารณูปโภคก็ลำบาก หากปล่อยไปเรื่อยๆ จะประสบปัญหาน้ำประปาขาด ปัญหาน้ำท่วมก็จะแก้ไม่ตก จึงควรเตรียมหาเมืองใหม่ เหมือนอย่างที่ประเทศอื่นก็ทำกันแล้ว ด้วยเหตุที่ว่าเมืองหลวงแน่นไปหมด และได้มองการณ์ไกลเพื่อรองรับอนาคต อาทิ เกาหลีใต้, พม่า, มาเลเซีย”
     
       รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ย้ำว่า การประกาศผังเมืองรวมใหม่ในทุกๆ พื้นที่นั้น สิ่งสำคัญคือ เจ้าของพื้นที่ และผู้ที่ต้องการปลูกสร้าง ต้องพิจารณา 2 ประเด็นหลัก คือ 1. ต้องดูผังเมืองก่อนว่าให้ปลูกสร้างอะไรได้บ้าง 2. ดูกฎหมายควบคุมอาคารว่าถ้าสร้างได้ ต้องมีพื้นที่ถนนกว้างเท่าไร สามารถสร้างอาคารสูงขนาดไหน แต่หากผังเมืองห้ามสร้างก็ไม่ต้องไปดูต่อ เพราะทั้ง 2 ส่วนนี้จะสอดคล้องกัน
     
       ขณะเดียวกันเชื่อว่าผัง กทม.ใหม่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่สังคมโดยรวม เช่น ในรัศมีใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้า อนุญาตให้สร้างอาคารสูงเพื่อที่อยู่อาศัยได้ เพื่อให้ประชาชนมีความสะดวกสบายในการเดินทาง เป็นต้น

ขอบคุณเรื่อง: Manageronline 24.8.55
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9550000104047 ดูภาพผังต่างๆ

August 01, 2012

เช็คผลอนุมัติ สินเชื่อบ้าน กับธนาคาร ไทยพาณิชย์

ต้องการเช็คผลอนุมัติ(เบื้องต้น) สินเชื่อบ้าน กับธนาคาร ไทยพาณิชย์
http://preapprove.buyatsiam.com/user/appForm.htm


เช็คผลอนุมัติ(เบื้องต้น) สินเชื่อบ้าน กับธนาคาร กสิกรไทย
http://www.khomesmilesclub.com/khomeloanonline/KC_calculate.aspx


สอบถาม บริการสินเชื่อบ้าน ติดต่อเรา

July 27, 2012

ภ.บ.ท. 5 คืออะไร


ภ.บ.ท. 5 คืออะไร?

ภ.บ.ท.5 เป็นแบบแสดงรายการที่ดินที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่จะต้องไปยื่นแบบดังกล่าวเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ประจำปีต่อเจ้าพนักงานประเมิน ณ สำนักงานอันเป็นที่ตั้งขององค์กรปกครองท้องถิ่นที่ที่ที่ดินตั้งอยู่ เช่น สำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร สำนักงานเทศบาล ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล ทั้งนี้ เป็นไปตามพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ.2508
ภ.บ.ท. 5 จึงมิใช่เอกสารสิทธิในที่ดินที่ออกตามประมวลกฎหมายที่ดิน การซื้อขายจึงทำได้เพียงการส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่กันเท่านั้น ไม่สามารถไปจดทะเบียน สิทธิและนิติกรรม ณ สำนักงานที่ดินท้องที่ได้ บุคคลที่มีชื่อใน ภ.บ.ท. 5 อาจจะไม่ใช่เจ้าของที่ดิน และที่ดินอาจจะเป็นที่หวงห้ามที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออกเอกสารสิทธิตาม ประมวลกฎหมายที่ดินก็อาจเป็นได้ การซื้อขายที่ดินที่มีเพียง ภ.บ.ท. 5 จึงเป็นการเสี่ยงภัยของผู้ซื้อเอง หากประสงค์จะซื้อที่ดินที่มีหลักฐาน ภ.บ.ท. 5 ควรให้ผู้ขายยื่นคำขอออกหนังสือ แสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินเพื่อพิสูจน์สิทธิก่อนว่าสามารถออกเอกสารสิทธิได้หรือไม่ หากสามารถออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินได้และขอออกเอกสารสิทธิ ในที่ดินตามหลักฐาน ภ.บ.ท. 5 เนื้อที่ที่คำนวณได้จากการรังวัดออกเอกสารสิทธิย่อมไม่ตรงกับเนื้อที่ที่ระบุไว้ในหลักฐาน ภ.บ.ท. 5 ได้เพราะถือว่าเป็นที่ดินที่ไม่มีหลักฐานสำหรับที่ดิน ไม่เคยมีการรังวัดคำนวณเนื้อที่โดยกรมที่ดินมาก่อนแต่อย่างใด อีกทั้งการรังวัดออกเอกสารสิทธิที่ดินจะใช้วิธีการรังวัดทำแผนที่และคำนวณเนื้อที่โดยใช้หลักวิชาการทางแผนที่ซึ่งจะมี มาตรฐานความละเอียดถูกต้อง การแจ้งเนื้อที่ตามหลักฐาน ภ.บ.ท.5 จึงเป็นการแจ้งของผู้ทำประโยชน์ในที่ดินโดยประมาณเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ประจำปีเท่านั้น

คำถาม-คำตอบที่ควรรู้
ถาม        1.อยากทราบว่า ภ.ท.บ. 5 นี้สามารถเปลี่ยนเป็น ส.ค.1 หรือ น.ส.3 ได้หรือไม่
              2. เปลี่ยนได้หรือไม่ได้เพราะอะไร ถ้าเปลี่ยนได้ควรทำอย่างไร?
ตอบ ภ.บ.ท. 5 เป็นแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ ดังนั้น ที่ดินบริเวณดังกล่าวจึงเป็นที่ดินมือเปล่า ไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ และ จะสามารถออกเอกสารสิทธิได้หรือไม่นั้น ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่สงวนหวงห้ามมิให้ออกเอกสารสิทธิหรือไม่ อย่างไร?

ถาม อยากทราบเรื่องการทำสัญญาซื้อขายที่ดิน น.ส.3 กับซื้อที่ดินที่มีใบ ภ.บ.ท.5 การทำสัญญาซื้อขายต้องทำ 2 ฉบับ หรือรวมกันได้ แล้วมีแบบฟอร์มในการซื้อขาย ดังกล่าวหรือไม่?
ตอบ สัญญาซื้อขายที่ดิน เป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ดังนั้น คุณต้องทำความตกลงกันเอง อย่างไรก็ตาม น.ส. 3 เป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน แต่ ภ.บ.ท. 5 มิใช่เอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน การซื้อขายจึงทำได้เพียงการส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่กันเท่านั้น ไม่สามารถไปจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ณ สำนักงานที่ดินท้องที่ได้

ถาม ซื้อที่ดินเพื่อปลูกยางพารา แต่ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์อะไรเลย มีเพียงใบเสียภาษีดอกหญ้า แต่มีการทำสัญญาซื้อขายที่บ้านกำนันมีพยานหลายคน ที่แปลงนี้ขายต่อมาหลายทอดแล้ว จึงกังวลว่าภายในอนาคตมีจะมีปัญหาตามมา และสามารถฟ้องศาลได้หรือไม่ และเวลาที่ขายก็ไม่ได้มีการวัด เพียงแต่ตกลงกันด้วยวาจาเท่านั้น
ตอบ ที่ดินมีเพียงใบเสียภาษียอนหลัง เป็นเพียงแบบชำระภาษีบำรุงท้องที่ไม่ใช่เอกสารสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ดินอาจเป็นที่หวงห้าม ที่สาธารณะประโยชน์หรือที่ปีหรือเป็นที่ ที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออกเอกสารสิทธิ์ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน การซื้อขายที่ดินที่มีเพียงแบบเสียภาษีบำรุงท้องที่จึงเป็นการเสียงของผู้ซื้อเองควรให้เจ้าของขอออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินก่อน

ถาม ภ.บ.ท. คืออะไร แล้วสามารถซื้อที่ดินที่มีใบ ภ.บ.ท.5 ได้หรือไม่?
ตอบ ภ.บ.ท.5 เป็นเพียงแบบแสดงรายการเพื่อชำระภาษีท้องที่ไม่ใช่เอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน บุคคลที่มีชื่อใน ภ.บ.ท.5 อาจจะไม่ใช่เจ้าของที่ดินและที่ดินอาจจะเป็นที่หวงห้าม ที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินก็อาจเป็นได้ การซื้อขายที่ดินที่มีเพียง ภ.บ.ท.5 จึงเป็นการเสี่ยงภัยของผู้ซื้อ หากท่านจะซื้อที่ดินที่มีหลักฐาน ภ.บ.ท.5 ให้ยื่นคำขอออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินเพื่อพิสูจน์สิทธิก่อนว่าสามารถออกเอกสารสิทธิได้หรือไม่ หากท่านต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการนำ ภ.บ.ท.5 ไปออกโฉนดที่ดิน ขอให้สอบถามที่สำนักงานที่ดินทุกแห่ง

ถาม ใบ ภ.บ.ท. 5 นำมาขอออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่?
ตอบ ภ.บ.ท. 5 สามารถใช้เป็นเอกสารประกอบในการขอออกโฉนดที่ดินได้ หากที่ดินดังกล่าวมิได้เป็นที่สงวนหวงห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดิน ภ.บ.ท.5 เป็นเพียงแบบแสดงรายการเพื่อชำระภาษีท้องที่ไม่ใช่เอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน บุคคลที่มีชื่อใน ภ.บ.ท.5 อาจจะไม่ใช่เจ้าของที่ดินและที่ดินอาจจะเป็นที่หวงห้าม ที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินก็อาจเป็นได้ การซื้อขายที่ดินที่มีเพียง ภ.บ.ท.5 จึงเป็นการเสี่ยงภัยของผู้ซื้อ หากท่านจะซื้อที่ดินที่มีหลักฐาน ภ.บ.ท.5 ให้ยื่นคำขอออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินเพื่อพิสูจน์สิทธิก่อนว่าสามารถออกเอกสารสิทธิได้หรือไม่ หากท่านต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการนำ ภ.บ.ท.5 ไปออกโฉนดที่ดิน ขอให้สอบถามที่สำนักงานที่ดินทุกแห่ง

ภ.บ.ท. คืออะไร แล้วสามารถซื้อที่ดินที่มีใบ ภ.บ.ท.5 ได้หรือไม่?
ภ.บ.ท.5 เป็นเพียงแบบแสดงรายการเพื่อชำระภาษีท้องที่ไม่ใช่เอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน บุคคลที่มีชื่อใน ภ.บ.ท.5 อาจจะไม่ใช่เจ้าของที่ดินและที่ดินอาจจะเป็นที่หวงห้าม ที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออกเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินก็อาจเป็นได้ การซื้อขายที่ดินที่มีเพียง ภ.บ.ท.5 จึงเป็นการเสี่ยงภัยของผู้ซื้อ หากท่านจะซื้อที่ดินที่มีหลักฐาน ภ.บ.ท.5 ให้ยื่นคำขอออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินเพื่อพิสูจน์สิทธิก่อนว่าสามารถออกเอกสารสิทธิได้หรือไม่ หากท่านต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการนำ ภ.บ.ท.5 ไปออกโฉนดที่ดิน ขอให้สอบถามที่สำนักงานที่ดินทุกแห่ง

ที่มา:  กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย

April 21, 2012

ที่ดิน ติดถนนนวมินทร์ เนื้อที่2 ไร่

ที่ดิน ติดถนนนวมินทร์ เนื้อที่2 ไร่ ย่านชุมชน ใกล้รพ สินแพทย์
ขาย 110,000-/ตรว
(งดนายหน้า)

Land close to Navamin Rd, area 2 rai (800sqw) near hospital,
commercial area
price 110000/sqw

March 18, 2012

ที่ดิน ติดBTS สนามเป้า พหลโยธิน Land for sale close to BTS Sanampao

ที่ดิน ติดBTS สนามเป้า ติดถ.พหลโยธิน อนุเสาวรีย์ชัยฯ เนื้อที่ 486 ตรว. ตอกเสาเข็มแล้ว ขาย 700,000-/ตรว.
Land for sale, close to BTS Sanampao,close to Phaholyothin Rd., 486 sqw.,price 700,000/sqw

(งดรับนายหน้า)

February 21, 2012

ขั้นตอนประมูลทรัพย์ขายทอดตลาด ของกรมบังคับคดี

ทรัพย์ขายทอดตลาด ของกรมบังคับคดี  ต้องวางเงินประกันในการเข้าประมูล 5,000- บาท (หรือ แล้วแต่ กำหนด 5% ของราคาประมูลสูงสุดในตอนแรก)  จะเริ่มต้นประมูล ในราคา 80%ของราคาประเมิน แต่ถ้าไม่มีใครเสนอราคาประมูล  จะเริ่มต้นประมูล ในราคา50% ของราคาประเมิน ในการประมูลครั้งที่สอง 
ลูกหนี้เจ้าของทรัพย์มีสิทธิ ค้านราคาได้1ครั้ง  และ 
มีเวลาประมาณ 1อาทิตย์  เพื่อสู้ราคาในการประมูลครั้งต่อไป  ผู้เสนอราคาสูงสุดครั้งก่อนจะต้องกลับไปประมูลสู้ราคาอีก ถ้าไม่มีใครสู้ประมูลสู้ราคาที่เสนอได้  ก้จะได้ทรัพย์นั้นไป  
จะต้องวางเงินมัดจำ 25% -ของราคาทรัพย์ที่ประูมูลได้ และชำระเงินที่เหลือภายใน 15วัน
มีเวลาในการโอนประมาณ 3เดือน ค่าธรรมเนียมในการโอนและภาษี ผู้เสนอซื้อได้ เป็นผู้จ่าย  ส่วนภาษี(เงินได้บุคคลธรรมดา)ที่ชำระไว้ ขอรับคืนได้ภายหลัง
(ภาระต่างๆ ในการตรวจสอบทรัพย์สิน  ได้แก่ โฉนด ไฟฟ้า ประปา  อื่นๆ ต้องรับผิดชอบเอง)


ไม่สามารถโอนสิทธิในการรับโอนทรัพย์สินที่ประมูลได้ ให้แก่ผู้อื่น  กรมบังคับคดีจะตรวจสอบชื่อ และออกเอกสารให้เพื่อไปโอน ณ ที่่สำนักงานที่ดิน 


หากผู้ประมูลได้ไม่วางเงินชำระตามเงื่อนไข  แล้วมีการนำทรัพย์นั้นทำการประมูลครั้งใหม่ ได้ราคาที่ต่ำกว่าราคาครั้งก่อน ผู้ประมูลได้ในครั้งก่อน จะต้องรับผิดชอบส่วนต่าง

**อาจขอผ่อนผัน เลื่อนระยะเวลาชำระเงิน ได้ (3เดือน) +15 วัน (อาจมีเปลี่ยนแปลง)
##การขอคืนภาษี หัก ณ ที่จ่าย  มีข้อยกเว้น 3กรณี 
-มีจำนองติดไป 
-ราคาที่ประมูลได้ ต่ำกว่า 50% ของราคาประเมิน 
-.....

ตรวจสอบข้อมูลอีกครั้ง  อาจมีเปลี่ยนแปลง

February 20, 2012

วางผังเมืองเพื่อชาวกรุงเทพ

วางผังเมืองเพื่อชาวกรุงเทพมหานคร
ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 11-13 สิงหาคม หน้า 35 
ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 14-17 สิงหาคม หน้า 35
ดร.โสภณ พรโชคชัย <1>
          ท่านนึกสงสัยไหม ทำไมในผังเมืองรวม พื้นที่ตรงนั้นตรงนี้มีการกำหนดสี กำหนดสิทธิแตกต่างกันไป บ้างได้เปรียบ บ้างเสียเปรียบ บางพื้นที่ก็เปลี่ยนสี ตอนนี้ผังเมืองกรุงเทพมหานครก็หมดอายุไปแล้ว แต่เราก็ยังร่างไม่เสร็จ และคาดว่าจะแล้วเสร็จก็คงจะเป็นเวลาอีก 2 ปี เพราะขณะนี้ยังไปได้ไม่กี่ขั้นตอน
ใครคิด ใครทำ
          ผังเมืองมีไว้เพื่อการกำหนดการใช้ที่ดินให้เป็นระเบียบ มีประสิทธิภาพ เป็นการวางผังเมืองรวมระยะยาว เช่น 20 ปี และในแต่ละพื้นที่ยังมีผังเมืองเฉพาะพื้นที่ และแผนแม่บทด้านเสียง การอนุรักษ์ ที่อยู่อาศัย ฯลฯ แต่ของไทยเป็นการวางผังเมืองรวมเป็นหลัก บางครั้งผังเมืองไทยอาจเป็นเพียงการขีดสีขีดเส้นที่อาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงโดยไม่ทราบว่ามีการตรวจสอบพื้นที่จริงเพียงใด 
          ท้องถิ่นในต่างประเทศหลายแห่งเป็นผู้จัดวางผังเมืองเองเพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตของท้องถิ่น แต่ท้องถิ่นเหล่านั้นควบคุมกิจการจัดหาที่อยู่อาศัย ประปา ไฟฟ้า ตำรวจ การก่อสร้างถนน การประเมินค่าทรัพย์สิน และการจัดเก็บภาษีไว้เอง จึงสามารถวางผังได้อย่างเหมาะสม แต่ท้องถิ่นของไทย ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ผังเมืองที่ออกมาจึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงโดยพื้นฐาน ราคาประเมินทางราชการที่จะออกมาในเดือนมกราคม 2555 ก็อาจไม่สอดคล้องกับสีผังเมือง แผนการขยายตัวของเมืองกับผังเมืองก็อาจไม่สอดรับกัน ผังเมืองไทยจึงอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง
บทบาทอันจำกัด
          ผังเมืองไทยไม่อาจแตะต้องสิ่งต่าง ๆ ที่ดำรงอยู่มากนัก ที่เซี่ยงไฮ้ กล่าวกันว่าถ้าจากบ้านไปเกิน 3 เดือน กลับมาอีกที อาจจำทางเข้าบ้านไม่ได้ เพราะนครเซี่ยงไฮ้มีแผนการก่อสร้างต่าง ๆ ตามผังเมืองระยะยาว 20 ปี และทำการก่อสร้างอย่างจริงจัง ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จึงต้องมีการปรับปรุงผังเมืองตามความเหมาะสมอยู่เสมอ การเวนคืนจึงเป็นสิ่งจำเป็น
          ส่วนในกรณีของไทย จะสร้างถนน สะพาน ทางด่วนสักเส้นนั้นแสนช้าและยากเย็น บางครั้งกระทบต่อชาวบ้านบางกลุ่ม พอมีการเดินขบวน เรื่องก็เงียบไปที ตัวอย่างเช่นกรณีแฟลตดินแดง ที่จวนเจียนจะพังลงมาอยู่แล้ว ชาวบ้านก็ยังไม่ยอมย้ายออกเพื่อเปิดโอกาสให้รัฐบาลสร้างบ้านขึ้นมาใหม่ให้หนาแน่นขึ้นเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยได้เข้าอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ชุมชนแออัดต่าง ๆ ก็แทบไม่ถูกแตะต้องในผังเมือง แล้วเช่นนี้ผังเมือง จะเป็นเครื่องมือในการวางแผนการใช้ที่ดินของนครเพื่อประชาชนได้อย่างไร
กลับเน้นที่ลูกเล่น
          ในเมื่อรัฐบาลส่วนกลางและรัฐบาลท้องถิ่นไม่สามารถวางผังเมืองตามแบบฉบับสากลได้จริง ก็เน้นไปที่ลูกเล่นต่าง ๆ เช่น การกำหนดให้มี “Bonus System” ให้แปลงที่ดินที่อยู่ในระยะ 500 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้าสามารถสร้างได้เพิ่มอีก 20% แต่ก็ไม่วายรอนสิทธิ์ด้วยการจะเพิ่มสัดส่วนพื้นที่ว่างหรือ OSR (Open Space Ratio) ก็เลยไม่รู้เจ้าของที่ดินใกล้สถานีรถไฟฟ้าจะได้หรือจะเสียเพิ่มขึ้น
          ปรากฏการณ์น่ารักน่าชังอีกอันหนึ่งก็คือการกำหนดให้มีการแลกเปลี่ยนสิทธิเหนือที่ดินให้ผู้อื่น หรือ Transfer Right โดยคงได้แนวคิดมาจากนครนิวยอร์กที่โบสถ์โบราณแห่งหนึ่งขายสิทธิการสร้างสูง (เพราะตนคงไม่สร้างอยู่แล้ว) ให้กับที่ดินแปลงข้างเคียง จึงทำให้ที่ดินแปลงดังกล่าวสามารถสร้างตึกระฟ้าได้ เป็นต้น อย่างไรก็ตามนอกจากลูกเล่นเหล่านี้แล้วผังเมืองยังอาจไม่มีอะไรใหม่
กลัวความหนาแน่น
          ในผังเมืองฉบับปัจจุบันที่ยังไม่หมดอายุ กำหนดให้การสร้างอาคารขนาดใหญ่พิเศษ (เกิน 10,000 ตารางเมตร) ในพื้นที่ ย.3 และ ย.4 ต้องตั้งอยู่บนที่ดินที่มีถนนผ่านหน้ากว้าง 30 เมตร  ซึ่งเท่ากับการรอนสิทธิที่ผังเมืองเดิมไม่เคยกำหนดไว้ ในร่างผังเมืองใหม่ยังมีการกำหนดว่าอาคารใหญ่ ขนาดเกิน 2,000 ตารางเมตร ต้องตั้งอยู่บนถนนขนาด 12 เมตร แทนที่จะเป็น 10 เมตรเช่นผังเมืองฉบับปัจจุบัน แสดงว่ามีการรอนสิทธิหนักกว่าเก่าเสียอีก
          นักผังเมืองไทยบางท่านอาจพยายามขายแนวคิดทำเมืองให้หลวม เพื่อให้เหลือพื้นที่ให้ลูกหลานในวันหน้า จึงพยายามจำกัดความสูง กำหนด OSR ให้มาก ๆ ไว้ แต่ในความเป็นจริง เป็นการทำลายทั้งคนรุ่นนี้และคนรุ่นหลัง เพราะเมื่อไม่สามารถสร้างในเมืองได้ การพัฒนาก็ไหลบ่าไปจังหวัดรอบนอกที่ผังเมืองเข้มข้นน้อยกว่า ส่งผลให้สาธารณูปโภคต่าง ๆ ก็ขยายตัวออกไปไม่สิ้นสุด ประชาชนที่จะหาซื้อบ้านก็ต้องออกจากบ้านแต่เช้ามืดและกลับบ้านมืดค่ำ เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาก พร้อมกับทำลายสิ่งแวดล้อม
          เราควรจะคิดเหมือนมหานครที่เจริญแล้วอื่น ๆ เช่น สิงคโปร์ ที่มีขนาดที่ดินเพียงหนึ่งในสามของกรุงเทพมหานคร แต่สามารถพัฒนาให้หนาแน่นแต่ไม่แออัดจนกลายเป็น Garden City มหานครนิวยอร์ก เซี่ยงไฮ้ ฯลฯ ก็เช่นกัน ต่างเน้นการพัฒนาในแนวดิ่ง เพื่อให้การใช้ประโยชน์ที่ดินในใจกลางเมืองเกิดประโยชน์สูงสุด และรักษาพื้นที่รอบนอกไว้เป็นเสมือนปราการสีเขียว (Green Belt) เก็บไว้ให้ลูกหลานในอนาคต
ต้องกล้าเวนคืน
          ปกติไม่มีใครชอบการเวนคืนเพราะสิ่งที่ “ต่ำ-ช้า” คือมักจ่ายค่าทดแทนในราคาต่ำ และกว่าจะได้ค่าทดแทนก็กินเวลาช้านาน แต่ในความเป็นจริง การเวนคืนจำเป็นสำหรับการวางผังเมือง และรัฐบาล (ท้องถิ่น) สามารถเวนคืนโดยให้เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ในกรณีทั่วไปการเวนคืนที่จ่ายค่าทดแทนตามราคาตลาดก็ถือว่า “บุญแล้ว” แต่การเวนคืนในแนวใหม่ของผังเมืองยังสามทารถจ่ายค่าทดแทนให้สูงกว่าราคาตลาดได้ในระดับหนึ่ง
          โดยปกติการเวนคืนเพื่อขยายถนนนั้น รัฐบาลมักเน้นการเวนคืนที่ดินในส่วนที่จะขยายถนน ในที่นี้จึงเสนอให้รัฐบาลเวนคืนที่ดินกินลึกไปอีกระดับหนึ่ง เช่น แทนที่จะเป็นเพียงข้างละ 20 เมตร ก็เวนคืนถึงข้างละ 40 เมตร ที่ดิน 20 เมตรแรกอาจเสียค่าเวนคืนสูง ส่วน 20 เมตรหลังมักมีราคาถูก เมื่อถัวเฉลี่ยแล้วราคาจึงถูกกว่า และเมื่อถนนที่ขยายใหม่แล้วเสร็จ ราคาที่ดินที่เหลือยิ่งถีบตัวสูงขึ้น เท่ากับรัฐบาลกำไร และยังอาจเหลือที่ดินริมถนนไว้ส่วนหนึ่งเพื่อใช้เป็นสวนสาธารณะ เป็นต้น
ต้องกล้าชดเชย-กล้าได้
          พื้นที่บางแห่งผังเมืองมักห้ามการก่อสร้าง เช่น อยู่ใกล้เขตพระราชฐานหรือโบราณสถานต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่บางแห่งเข้าใจได้ยาก เช่น บริเวณริมถนนบางเส้น กำหนดห้ามก่อสร้างในระยะ 15 เมตรแรกจากเขตทาง หรือการ “สาป” บางกระเจ้าไม่ให้สร้างตึกสูง เพื่อเป็น “ปอด” ของคนกรุงเทพมหานคร การรอนสิทธิเพื่อส่วนรวมเช่นนี้ รัฐบาลควรชดเชยค่าเสียหายให้แก่เจ้าของที่ดิน
          ในทางตรงกันข้าม หากผังเมืองใหม่กำหนดให้สามารถก่อสร้างได้เกินกว่าผังเมืองเดิม เพื่อทำเมืองให้แน่น เติบโตแนวดิ่ง แทนแนวราบเพื่อการใช้ประโยชน์ที่ดินให้ดีที่สุด รัฐบาลก็ควรจัดเก็บภาษี เช่น หากปกติสร้างได้เพียง 10,000 ตารางเมตร แต่ผังเมืองใหม่กำหนดให้สร้างได้เป็น 20,000 ตารางเมตร ส่วนที่เกินจากเดิม ซึ่งถือเป็นกำไร ก็ควรจะนำมาเสียภาษี และเจ้าของที่ดินก็คงยินดีที่จะเสียภาษี เพราะเป็นการเสียภาษีบนพื้นฐานของ Win Win คือต่างคนต่างได้รับประโยชน์
วางผังเมืองเชิงรุก
          แนวคิดในการวางผังเมืองเชิงรุกเกิดขึ้นทั่วไป ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มะนิลา ได้แปลงค่ายทหารใจกลางเมืองมาเป็นศูนย์การค้า เพราะรัฐบาลพลเรือนไม่ต้องใช้ทหารคอยค้ำอำนาจเช่นมากอสในอดีต การนำที่ดินใจกลางเมืองแปลงใหญ่ ๆ เช่น ท่าเรือคลองเตย ค่ายทหารเกียกกาย สนามม้า ฯลฯ มาพัฒนาในเชิงพาณิชย์ จะสามารถสร้างเป็นใจกลางเมืองใหม่ New CBD (Central Business District) ได้ เช่น ที่ดินแถวสนามเป้าขนาด 900 ไร่ หากใช้พื้นที่ 60% มาก่อสร้าง ก็จะสามารถสร้างอาคารขนาดธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่สีลมถึง 60 ตึก แถมยังสามารถนำรถไฟฟ้าเลี้ยวเข้ามาเป็น Light Rail แบบสิงคโปร์ หรือเชื่อมทางพิเศษกับทางยกระดับอุตรภิมุข (ดอนเมืองโทล์เวย์) ได้อีกด้วย
          ในอีกฟากหนึ่งของมหานครเช่นหนอกจอก ก็อาจสร้างเมืองใหม่โดยการเวนคืนนาสัก 50 ตารางกิโลเมตรหรือ 30,000 ไร่เศษ ๆ มาสร้างเป็นเมืองบริวาร ให้เชื่อมต่อกับกรุงเทพมหานครด้วยทางยกระดับหรือรถไฟฟ้าโดยห้ามการเชื่อมทาง เพื่อป้องกันปัญหาการขยายตัวของเมืองอย่างไรขีดจำกัด ซึ่งเท่ากับการทำลายสิ่งแวดล้อมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
          แนวคิดการวางผังเมืองเชิงรุกเช่นนี้ กรุงเทพมหานครย่อมไม่อาจคิดไปถึงเนื่องจากเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ไม่ได้ควบคุมระบบสาธารณูปโภคใด ๆ จึงส่งผลให้ผังเมืองเป็นเพียงการขีดสี ขีดเส้นที่ไม่อาจแก้ไขปัญหาการใช้ที่ดินหรือก่อให้เกิดการวางผังเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และทำได้ในขอบเขตจำกัดด้วยการเน้นลูกเล่นประเภท Bonus System และ Transfer Right ดังกล่าว
          ประชาชนเจ้าของกรุงเทพมหานคร เจ้าของทรัพย์สินที่ดินทั้งหลายต้องช่วยกันดูแลผังเมืองให้ดี

February 16, 2012

ทรัพย์สินขายทอดตลาด กรมบังคับคดี

http://asset.led.go.th/newbid/asset_search_province.asp?search_province=%A1%C3%D8%A7%E0%B7%BE%CF&search_sub_province=%A1%C3%D8%A7%E0%B7%BE%CF%20%CA%E8%C7%B9%A1%C5%D2%A7

ผังเมือง (ต่อ) ส่วนที่2 ผลกระทบต่อราคาอสังหาริมทรัพย์ และราคาที่ดิน

ส่วนที่ 2 : ผลกระทบต่อราคาอสังหาริมทรัพย์ และราคาที่ดิน
2.1 ผลกระทบต่อราคาอสังหาริมทรัพย์
          ต่อไปเรามาดูกันว่า ผังเมืองที่จะประกาศใช้ใหม่ จะมีผลกระทบในด้าน "ราคาขายของอสังหาริมทรัพย์ในโครงการที่จะสร้างใหม่" และ "ราคาที่ดิน (แปลงที่ยังเป็นที่ว่าง ๆ)" อย่างไร ซึ่งจะส่งผลต่อชาวบ้านอย่างเราอย่างไร
          ความเดิม ก่อนหน้านี้ที่ได้มีการกำหนด FAR และ OSR ไว้ จะค่อนข้างมีผลกระทบต่อราคาขายที่จะทำให้ราคาสูงขึ้นได้ในระดับ 10-30% แต่หลังจากมีข้อโต้แย้งกันมาก ทำให้ได้มีการปรับเพิ่ม FAR และลด OSR ให้ ในเวลาต่อมา -ประมาณ เดือนกรกฎาคม 2547 ที่ผ่านมา ทำให้ส่งผลต่อราคาขายไม่มากนัก ประมาณ 5% โดยประมาณ และบางพื้นที่เท่านั้น
          สรุปผลกระทบต่อก่อน และหลังการปรับปรุง FAR และ OSR (ใช้ตารางที่ 3 ประกอบ)
          ผลกระทบโดยย่อ ต่อพื้นที่ผังเมืองแต่ละประเภท ตามที่กำหนดไว้เดิม (ก่อนการแก้ไข เพิ่ม FAR และลด OSR ให้ ในเวลาต่อมา -ประมาณ เดือนกรกฎาคม 2547 ที่ผ่านมา) มาพิจารณาผลกระทบต่อราคาขายก่อนและหลัง ตามผังเมืองประเภทต่าง ๆ ดังนี้
พื้นที่ ย.1 (สีเหลือง) พื้นที่ตัวอย่าง เช่น หทัยราษฎร์ ทุ่งครุ ตามร่างผังเมืองใหม่สามารถสร้างได้เฉพาะบ้านเดี่ยวเท่านั้น ซึ่งแต่เดิมก่อสร้างบ้านได้ทุกประเภท ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ตึกแถว ทาวน์เฮาส์ อาจส่งผลให้ราคาที่ดินลดลงได้ เพราะคงมีความสนใจน้อยลง เพราะสร้างทาวน์เฮาส์ไม่ได้แล้ว และจะมีการบังคับใช้ FAR 1.0 เท่า และ OSR ร้อยละ 40 (พื้นที่ ย.1 ไม่มีการปรับปรุง FAR/OSR) ซึ่งจะไม่มีผลต่อการใช้ประโยชน์ส่วนใหญ่ คือ บ้านเดี่ยว แต่จะมีผลต่อการใช้ประโยชน์เพื่อกิจการอื่น ที่แต่เดิมใช้ FAR ได้ 10 เท่า และไม่มี OSR จะแทบไม่มีโอกาสเกิดโครงการใหญ่ ๆ ที่อาศัยประโยชน์จากพื้นที่เพื่อกิจการอื่นเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
ส่วนพื้นที่ ย.2 (สีเหลือง) พื้นที่ตัวอย่าง เช่น รัตนโกสินทร์สมโภช และร่มเกล้าตะวันตก ตามร่างผังเมืองใหม่สามารถสร้างได้เฉพาะ บ้านเดี่ยว กับบ้านแฝด ซึ่งแต่เดิมก่อสร้างบ้านได้ทุกประเภท ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ตึกแถว ทาวน์เฮาส์ รวมทั้งบางส่วนสามารถสร้างอาคารอยู่อาศัยไม่เกิน 23 เมตร และเนื้อที่ไม่ถึง 2,000 ตารางเมตร เช่น หอพัก คอนโดราคาถูก อาจส่งผลให้ราคาที่ดินลดลงได้ เพราะสร้างได้น้อยลงเช่นกัน

การบังคับใช้ FAR (เดิม 1.0 ปรับเป็น 1.5 เท่า) และ OSR (เดิมร้อยละ 40 ปรับเป็นร้อยละ 20) แม้ว่าจะมีการปรับให้ ก็อาจไม่มีผลมากนัก เพราะพื้นที่นี้ ให้สร้างบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ซึ่งไม่มีบังคับใช้ FAR/OSR อยู่แล้ว แต่อาจส่งผลกระทบต่อการใช้พื้นที่เพื่อกิจการอื่น คล้ายกับพื้นที่ ย.1 ดังกล่าว
พื้นที่ ย.3 (สีเหลือง) พื้นที่ตัวอย่าง เช่น ดอนเมือง วัชรพล สายไหม รามอินทรา มีนบุรี สุขาภิบาล 3 สวนหลวง ประเวศ หนองแขม และภาษีเจริญ ตามร่างผังเมืองใหม่สามารถสร้างที่อยู่อาศัยได้ทุกประเภท คือ ได้ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ และตึกแถว ซึ่งจะมีการบังคับใช้ FAR (เดิม 1.5 เท่า ได้แก้ไขเป็น 2.5 เท่า) และ OSR (เดิมร้อยละ 25 แก้ไขเป็นร้อยละ 12.5) ทำให้มีผลต่อราคาขาย กล่าวคือ
(1)
แต่เดิมถ้าเป็นอาคาร (ทาวน์เฮาส์หรือตึกแถว) ตั้งแต่ 3 ชั้นขึ้นไป จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ดินที่ต้องใช้ เช่น ตึกแถว 4 ชั้น ปัจจุบันใช้ที่ดินขนาด 18 ตรว. แต่ตามร่างผังเมืองใหม่จะต้องใช้ที่ดินขนาด 35 ตรว. ถ้าพิจารณาในเรื่องของราคาขาย จะทำให้ราคาในปัจจุบัน 1,800,000 บาท จะเพิ่มเป็น 2,310,000 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 แต่หลังจากการปรับเพิ่ม FAR และลด OSR ทำให้มีผลกระทบต่ออาคาร 4 ชั้น ทำให้ราคาสูงขึ้นเพียง 5% เท่านั้น
(2)
ในทำนองเดียวกันถ้าเป็นทาวน์เฮาส์ 4 ชั้น เดิมใช้ที่ดินขนาด 18 ตรว. ตามร่างผังเมืองใหม่จะต้องใช้ที่ดินขนาด 26.7 ตรว. ทำให้ราคาขายในปัจจุบัน 1,500,000 บาท จะเพิ่มเป็น 1,761,000 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 แต่หลังจากการปรับเพิ่ม FAR และลด OSR ทำให้ไม่มีผลต่อราคาเลย
ดังนั้นพื้นที่ ย.3 ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่เขตชั้นนอก จึงจะมีผลกระทบต่อราคาขายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังการปรับปรุง FAR/OSR
พื้นที่ ย.4 (สีเหลือง) พื้นที่ตัวอย่าง เช่น หลักสี่ บางเขน เกษตร-นวมินทร์ ประดิษฐ์มนูธรรม นวลจันทร์ นวมินทร์ เสรีไทย และศรีนครินทร์ตะวันตก จะมีการบังคับใช้ FAR (เดิม 2 เท่า ปรับเป็น 3 เท่า และ OSR เดิมร้อยละ 20 ปรับเป็นร้อยละ 10) จึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น
(1)
การสร้างตึกแถวตั้งแต่ 4 ชั้น จากปัจจุบันใช้ที่ดินขนาด 18 ตรว. ตามร่างผังเมืองใหม่ (ก่อนปรับ) จะต้องใช้ที่ดินขนาด 26.3 ตรว. ส่งผลให้ราคาขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เป็นต้น แต่หลังการปรับ FAR/OSR จะไม่มีผลกระทบเลย
(2)
ถ้าเป็นทาวน์เฮาส์ 4 ชั้น ปัจจุบันใช้ที่ดินขนาด 18 ตรว. แต่ตามร่างผังเมืองใหม่ (ก่อนปรับ) จะต้องใช้ที่ดินขนาด 20 ตรว. ส่งผลให้ราคาขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 แต่หลังการปรับ FAR/OSR จะไม่มีผลกระทบเลย
(3)
ถ้ามาพิจารณาในส่วนของอาคารประเภทหอพัก (ขนาดอาคารไม่เกิน 2,000 ตรม.) เดิมใช้ที่ดินขนาด 160 ตรว. แต่ตามร่างผังเมืองใหม่จะต้องใช้ที่ดินขนาด 275 ตรว. ส่งผลให้ค่าเช่าหอพักจากเดิมเดือนละ 2,000 บาท เพิ่มเป็นเดือนละไม่ต่ำกว่า 2,479 บาท เป็นต้น แต่หลังการปรับ FAR/OSR จะเพิ่มเป็น เดือนละ 2,025 บาท (1%) เอง
(4)
ถ้าเป็นอาคารประเภทคอนโดมิเนียม (ขนาดอาคารไม่เกิน 10,000 ตรม.) ราคาปัจจุบัน 25,000 บาท/ตรม. แต่ราคาใหม่(ก่อนปรับ) จะอยู่ในราคาประมาณ 32,905 บาท/ตรม. นั่นคือราคาขายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 32 แต่หลังการปรับ FAR/OSR ราคาขายจะเพิ่มเป็น 28,865 บาท/ตรม. (15%)
พื้นที่ ย.5 (สีส้ม) พื้นที่ตัวอย่าง เช่น ตลาดมีนบุรี สวนสยาม เกษตร งามวงศ์วาน วงศ์สว่าง บางแวก และบางมด จะมีการบังคับใช้ FAR (เดิม 3 เท่า ปรับเป็น 4 เท่า และ OSR เพิ่มร้อยละ 15 ปรับเป็นร้อยละ 7.5) จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น อาคารประเภทคอนโดมิเนียม (ขนาดอาคารไม่เกิน 10,000 ตรม.) เดิมใช้ที่ดินขนาด 434 ตรว. แต่ตามร่างผังเมืองใหม่จะต้องใช้ที่ดินขนาด 938 ตรว. ส่งผลให้ราคาขายจากเดิม 27,500 บาท/ตรม. เพิ่มเป็น 32,449 บาท/ตรม. หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 แต่หลังการปรับ FAR/OSR ราคาขายจะเพิ่มเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น
พื้นที่ ย.6 (สีส้ม) พื้นที่ตัวอย่าง เช่น ย่านตลาดบางกะปิ อ่อนนุช อุดมสุข บางนา และเอกชัย จะมีการบังคับใช้ FAR (เดิม 3.5 เท่า ปรับเป็น 4.5 และ OSR เดิมร้อยละ 12 ปรับเหลือร้อยละ 6.5) จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่น อาคารประเภทคอนโดมิเนียม (ขนาดอาคารไม่เกิน 10,000 ตรม.) เดิมใช้ที่ดินขนาด 434 ตรว. แต่ตามร่างผังเมืองใหม่จะต้องใช้ที่ดินขนาด 715 ตรว. ส่งผลให้ราคาขายจากเดิม 30,000 บาท/ตรม. เพิ่มเป็น 33,973 บาท/ตรม. หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 แต่หลังการปรับ FAR/OSR ราคาขายจะเพิ่มเพียงร้อยละ 6 เท่านั้น
พื้นที่ ย.7 (สีส้ม) พื้นที่ตัวอย่าง เช่น คลองตัน เพชรบุรี พระราม 9 บางจาก และพระโขนง จะมีการบังคับใช้ FAR (เดิม 4 เท่า ปรับเป็น 5 เท่า และเดิม OSR ร้อยละ 10 ปรับเหลือร้อยละ 6) จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น อาคารประเภทคอนโดมิเนียม (ขนาดอาคารมากกว่า 10,000 ตรม.) เดิมใช้ที่ดินขนาด 756 ตรว. แต่ตามร่างผังเมืองใหม่จะต้องใช้ที่ดินขนาด 1,125 ตรว. ส่งผลให้ราคาขายจากเดิม 35,000 บาท/ตรม. เพิ่มเป็น 38,933 บาท/ตรม. หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 แต่หลังการปรับ FAR/OSR ราคาขายจะเพิ่มเพียงร้อยละ 4 เท่านั้น
พื้นที่ ย.8 (สีน้ำตาล) พื้นที่ตัวอย่าง เช่น บางซื่อ บางพลัด และปิ่นเกล้า จะมีการบังคับใช้ FAR (เดิม 5 เท่า ปรับเป็น 6 เท่า และ OSR เดิมร้อยละ 8 ปรับเป็นร้อยละ 5) จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น อาคารประเภทคอนโดมิเนียม (ขนาดอาคารมากกว่า 10,000 ตรม.) เดิมใช้ที่ดินขนาด 756 ตรว. แต่ตามร่างผังเมืองใหม่จะต้องใช้ที่ดินขนาด 900 ตรว. ส่งผลให้ราคาขายจากเดิม 40,000 บาท/ตรม. เพิ่มเป็น 42,251 บาท/ตรม. หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 แต่หลังการปรับ FAR/OSR ราคาขายจะไม่เพิ่มเลย (0%)
พื้นที่ ย.9 (สีน้ำตาล) พื้นที่ตัวอย่าง เช่น ดินแดง วิภาวดี และพหลโยธิน ใช้ FAR (เดิม 6 เท่า เพิ่มเป็น 7 เท่า และ OSR เดิมร้อยละ 6.5 ลดเหลือ 4.5) และพื้นที่ ย.10 (สีน้ำตาล) ได้แก่ พระราม 3 สาทร และพระราม 4 ใช้ FAR 8 เท่า (ไม่ปรับ) และ OSR (จากเดิมร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 4) ซึ่งทั้งสองพื้นที่นี้ คือ ย.9 และ ย.10 ตามร่างผังเมืองใหม่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงราคาขายมากนัก โดยเฉพาะโครงการที่เป็นอาคารชุด ไม่ว่าก่อนหรือหลังการปรับ FAR/OSR
          โดยสรุปถ้าพิจารณาตาม FAR และ OSR เดิม (ก่อนการแก้ไข) จะมีผลกระทบต่อราคาขายในระดับค่อนข้างสูง แต่หลังการปรับปรุง ทำให้มีผลราคาขายน้อยมาก โดยอาจมีเพียงบางพื้นที่ที่อาจมีผลเพียง 5% เท่านั้น จะเห็นได้ว่าการปรับ FAR เพิ่มให้ประมาณ 1 เท่าจากเดิม และการลด OSR ลงประมาณ 50% จากเดิม (เช่น 40 เหลือ 20) ทำให้แทบไม่มีผลต่อราคาเลยดังกล่าว รายละเอียดแสดงในตารางที่ 4          การศึกษาข้างต้นได้ศึกษา เฉพาะผังเมืองประเภทที่อยู่อาศัย (หนาแน่นน้อย-ปานกลาง-มาก) ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อชาวบ้าน ส่วนพื้นที่อื่น ๆ ต้องไว้โอกาสหน้าครับ
2.2 ผลกระทบต่อราคาที่ดิน
          ต่อไปจะมาพิจารณาถึงผลกระทบต่อราคาที่ดินบ้างครับ ที่นี้จะยกตัวอย่างในเขตชั้นในของเมือง เนื่องจากน่าจะมีผลกระทบเรื่องราคาที่ดินมากกว่า โดยทดลองศึกษาในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจปัจจุบัน (CBD: Central Business District) สรุปเป็นตารางได้ดังนี้
ตารางที่ 3 : การเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินในย่าน CBD จากร่างผังเมืองกรุงเทพฯ ใหม่ สมมติฐาน คือ ราคาขายเท่าเดิม เนื้อที่เท่าเดิม แต่ก่อสร้างได้น้อยลง (รายละเอียดการคำนวณ ตามตารางที่ 5-1  และ 5-2)
          จากตารางจะเห็นได้ว่า ตามร่างผังเมืองใหม่มีผลทำให้ราคาที่ดินลดลงในบางพื้นที่ เนื่องจาก FAR มีค่าลดลง จึงสามารถทำการก่อสร้างพื้นที่ได้น้อยลงเช่นกัน รวมทั้งยังมีข้อกำหนดของ OSR ที่เข้ามาควบคุมด้วย เช่น ในย่านพระราม 3 - สะพานแขวน (ย.9 และ ย.10) พบว่า FAR มีค่าลดลงจาก 10 เท่า เหลือเป็น 7 เท่า และ 8 เท่า และมี OSR ร้อยละ 4.5 และ 4 ตามลำดับ ทำให้ราคาที่ดินจากเดิม 150,000 บาท/ตรว. ลดลงเป็น 106,412 บาท/ตรว. หรือลดลงร้อยละ 29 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ราคาที่ดินที่จะลดลงเฉพาะที่ดินที่ว่างๆ เท่านั้น ส่วนที่ดินที่มีอาคารอยู่แล้วกลับจะทำให้มูลค่าที่ดินรวมอาคารของท่านแพงขึ้น เพราะท่านมีคู่แข่งที่จะก่อสร้างได้น้อยลงนั่นเอง และความจริงก็คือ ที่ว่าง ๆ ในเขตชั้นในเหลือน้อยแล้วครับ ส่วนใหญ่ก็สร้างกันไปแล้ว กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมเชื่อว่ากลไกตลาดน่าจะช่วยให้ราคาที่ดินอาจไม่ลดมากขนาดนั้น โดยอาจต้องเพิ่มราคาขายขึ้นไปด้วยส่วนหนึ่ง เนื่องจากภาวะขาขึ้นของธุรกิจอสังหาฯ ในช่วงนี้
ส่วนที่ 3 : สรุปว่าผังเมืองใหม่ดีหรือไม่ 
          อันนี้ต้องมองต่างมุมครับ ดี หรือไม่ดี ต้องถามว่า สำหรับใครด้วย
          เอาเป็นว่าในความเห็นผมถ้าเป็น"ชาวบ้าน"ธรรมดาๆ แบบผมที่ซื้อ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ไม่เกิน 2 ชั้นในเขตรอบนอกก็แทบไม่มีผล (จากเรื่องผังเมือง ไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ เช่น ตอนนี้วัสดุก่อสร้างก็ขึ้นเอาๆ โดยเฉพาะเหล็ก) แต่ถ้าเป็นชาวบ้านที่มีเงินมากหน่อยจะซื้อบ้าน 3-4 ชั้น หรือคอนโด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ชั้นกลาง ชั้นใน ราคาอาจแพงขึ้น เพราะเจ้าของโครงการต้องมีต้นทุนสูงขึ้นจากการที่ต้องใช้ที่ดินเพิ่มขึ้นในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ แน่นอนว่าคงไม่มีใครต้องแบกภาระไว้เอง ต้องไปเพิ่มไว้ในราคาขายแหงๆ ซึ่งสุดท้ายภาระตกอยู่กับชาวบ้าน (ที่มีเงินมากหน่อย) โดยราคาขายที่แพงขึ้นก็น่าจะมีผลประมาณ 5-10% (แม้ว่าผลการศึกษาจะเพิ่ม 10-20% แต่มีความเป็นไปได้ว่าราคาที่ดินอาจลดลงส่วนหนึ่งด้วยดังกล่าว) แต่ถ้าไม่อยากซื้อแพงก็ซื้อบ้านเก่า ซึ่งมีอยู่เยอะแยะให้เลือก
          อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอาจมีผลกระทบมากขึ้น ถ้าศักยภาพพื้นที่สูงขึ้น เช่น ถ้าแถวมีนบุรี ปัจจุบันศักยภาพพื้นที่ก็แค่อาคาร 2 ชั้น แต่ถ้าต่อไปศักยภาพสูงขึ้น ต้องสร้างอาคาร 3-4 ชั้น หรือสูงกว่านี้ คงจะมีผลกระทบ แต่ผมว่าอีกยาวไกลกว่าจะถึงวันนั้น และอีก 5 ปี ผังเมืองเขาก็ปรับปรุงกันอีก
          มาทางฝั่ง "เจ้าของที่ดินว่างๆ ที่ยังไม่ได้ก่อสร้างอะไร บ้าง ถึงคราวที่ท่านทั้งหลายอาจเสียประโยชน์เพราะราคาที่ดินอาจลดลง (แต่เอาเถอะ ที่ผ่านมามันก็เพิ่มมาเยอะแล้ว) โดยถ้าเป็นที่ดินชั้นใน ขนาดไม่เกิน 1 ไร่ จะเสียศักยภาพในการพัฒนาอาคารสูงไป โดยรวมของการศึกษา ถ้าไม่มีปัจจัยอื่น ๆ ใด จะส่งผลให้ราคาที่ดินในเขตชั้นในลดลงประมาณ 10-15% แม้ว่าผลการศึกษาจะลดลง 15-25% แต่กลไกตลาดน่าจะทำให้ต้องเพิ่มราคาขายด้วย ดังนั้นราคาที่ดินก็ไม่น่าจะลดมาก
          มาถึงผู้ได้ประโยชน์ตัวจริง คือ ท่านที่เป็น "เจ้าของอาคาร" ต่าง ๆ ราคาทรัพย์สินของท่านน่าจะสูงขึ้น เพราะว่าคู่แข่งถูกจำกัดให้น้อยลง บางแห่งอาจไม่มีใครสามารถสร้างได้เท่าที่ท่านมีอีกแล้ว โดยเฉพาะในเขตชั้นนอก ต่อไปจะพบว่าอาคารเก่า ๆ จะถูกนำมาปรับปรุงใหม่กันมากขึ้นแน่ ๆ
          ส่วนในเขตชั้นในที่ว่าง ๆ ก็แทบไม่เหลือแล้วครับ ก็มีแต่ตึกสร้างกันไปแล้วทั้งนั้นแหละครับ ดังนั้น คนส่วนใหญ่ในเขตชั้นในน่าจะได้ประโยชน์ ส่วนท่านที่ถือที่ดินว่าง ๆ ไว้ท่านน่าจะเป็นส่วนน้อยแล้ว
          แต่ผลที่สำคัญที่สุดในความเห็นผมจากผังเมืองใหม่ ก็คือ ต่อไปจะมีเมืองที่มีพื้นที่เปิดโล่งมากขึ้น ที่ว่างมากขึ้น ไม่แออัดยัดเยียดกันจนเกินไปเหมือนทุกวันนี้ ซึ่งการเสียสละกันคนละเล็ก คนละน้อย แต่ถ้าทำให้เมืองของเราดูดีขึ้น น่าอยู่มากขึ้น (ในเชิงกายภาพน้ะครับ อย่าหวังถึงเรื่องอื่น) เพราะมีพื้นที่โล่ง มีพื้นที่สวนมากขึ้น มีตึกสูง ๆ น้อยลง การลงทุนพัฒนาโครงการต่าง ๆ ต้องเผื่อสังคมมากขึ้น ผมว่าแนวคิดนี้ดีมาก ๆๆ สำหรับชาวบ้าน หรือประชาชนอย่างผม แต่แหมไม่ทราบว่าท่านคิดช้าไป 10 ปีหรือเปล่า ที่ว่าช้าก็คือว่า น่าจะกำหนดไว้ตั้งแต่ผังเมืองฉบับแรกเมื่อปี 2535 แล้ว ปล่อยให้สร้างกันมาได้เป็น 10 ปีแล้ว มาถึงตอนนี้จะห้าม ก็อาจทำให้คนส่วนหนึ่งเสียประโยชน์ อะไรก็แล้วแต่ที่เคยได้ เคยทำได้ แต่ต่อไปจะทำไม่ได้ หรือได้น้อยลง ก็ย่อมมีเสียงบ่น เสียงว่าเป็นธรรมดา ทนๆ เอาหน่อยครับ ท่านทำเพื่อชาติจริงๆ ไม่เหมือนท่านผู้ทรงเกียรติ (อ้าวทำไม ไปถึงโน่นได้) เลิกก่อนนะครับ
     เอกสารประกอบ  ตารางที่ 44-14-24-3
                                ตารางที่ 55-15-2
                                ตารางที่ 6



แหล่งที่มา:http://www.thaiappraisal.org/thai/market/market_view.php?strquery=market56.htm

ผังเมือง กทม 2548

ผังเมือง กทม 2548
(ผังเมือง กทม.ใหม่ ผลกระทบชาวกรุง)
ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 24 ฉบับที่ 1,935 วันที่ 29 สิงหาคม-1 กันยายน 2547 หน้า 37-38 (ตอน 1)
ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 24 ฉบับที่ 1,936 วันที่ 2-4 กันยายน 2547 หน้า 33-34 (ตอน 2)
ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 24 ฉบับที่ 1,941 วันที่ 19-22 กันยายน 2547 หน้า 33-34 (ตอน 3)
ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 24 ฉบับที่ 1,942 วันที่ 23-25 กันยายน 2547 หน้า 37-38 (ตอน 4)
ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 24 ฉบับที่ 1,943 วันที่ 26-29 กันยายน 2547 หน้า 33-34 (ตอนจบ)
          
ท่านทราบหรือไม่ว่าผังเมืองกรุงเทพมหานคร ที่จะมีการประกาศใช้ใหม่อีกครั้ง (ผังเมืองกรุงเทพฯ ประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2535 และครั้งต่อมาเมื่อปี 2542 และครบกำหนดการประกาศใช้ในครั้งต่อไป เมื่อ 5 กรกฎาคม 2547 ที่ผ่านมา แต่ได้มีการเลื่อนออกไปอีก 1 ปี และปกติผังเมืองจะประกาศใช้ได้คราวละ 5 ปี อาจต่ออายุได้อีก 2 ครั้งๆ ละไม่เกิน 1 ปี หลังจากนั้นต้องมีการปรับปรุง และประกาศใช้ใหม่) โดยผังเมืองเป็นการควบคุมการใช้ที่ดินของภาครัฐ ด้วยหลักการของการจัดเตรียมพื้นที่ให้เพียงพอกับความต้องการ การพัฒนาในอนาคต และบรรเทาปัญหาในการใช้ที่ดิน การสนับสนุน ส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น โดยผังเมืองจะกำหนดว่าพื้นที่ต่างๆ ของเมือง ควรจะมีการใช้ประโยชน์เป็นอะไร เช่น เป็นเขตที่อยู่อาศัย เขตพาณิชยกรรม เขตอุตสาหกรรม เขตชนบทและเกษตรกรรม เป็นต้น
          เรื่องของผังเมือง จะมีผลกระทบต่อผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นทุกๆ คน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของผังเมือง ก็ควรจะเป็นที่รับรู้ อย่างเข้าใจ (ย้ำครับ แค่รับรู้ แต่ไม่เข้าใจ ไม่มีประโยชน์) ทีนี้ผมจะอธิบายถึงผังเมืองใหม่ที่กำลังจะประกาศใช้ว่าเป็นอย่างไร มีผลกระทบอย่างไร

          ข่าวล่าสุด เห็นว่าจะประกาศใช้ให้ทันภายใน สิ้นปี 2547 นี้

ส่วนที่ 1 : การเปลี่ยนแปลงสำคัญของผังเมืองใหม่
          การเปลี่ยนแปลงในภาพรวมของร่างผังเมืองใหม่ กับผังเมืองฉบับปัจจุบัน ที่เป็นเรื่องสำคัญ ๆ ดังนี้

1.1  สีผังเมือง
          แต่เดิมได้กำหนดไว้ 13 ประเภท (กำหนดให้ใช้ประโยชน์ได้ 13 ประเภท) แต่ตามร่างผังเมืองใหม่มีเพียง 10 ประเภท (แต่แยกย่อยรวมได้ 23
          เขต ตามชื่อย่อในตาราง) ดังนี้ครับ
          ตารางที่ 1 : ประเภทสีผังเมืองใหม่
ผังเมืองประเภทสีผังเมืองชื่อย่อ
ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อยสีเหลืองย.1-ย.4พื้นที่แต่ละประเภท (สี) ตั้งอยู่แถวไหนบ้าง คงต้องเปิดดู ตามร่าง (ผมมีสรุปพื้นที่ตัวอย่างในตารางที่ 3)
ที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลางสีส้มย.5-ย.7
ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมากสีน้ำตาลย.8-ย.10
พาณิชยกรรมสีแดงพ.1-พ.5
อุตสาหกรรมสีม่วงอ.1-อ.2
คลังสินค้าสีเม็ดมะปรางอ.3-อ.4
อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรมสีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียวก.1-ก.2
ชนบทและเกษตรกรรมสีเขียวก.3-ก.4
อนุรักษ์และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยสีน้ำตาลอ่อนศ.
สถาบันราชการฯสี้น้ำเงินส.
          นอกจากนี้ในผังเมืองแต่ละประเภท (สี) ข้างต้น ยังกำหนดบริเวณย่อยๆ อีกหลายสิบบริเวณ บางสีอาจเป็นร้อยบริเวณ เช่น ประเภท ย.3 ก็มีตั้งแต่ ย.3-1 ถึง ย.3-106 หมายถึง พื้นที่ ย.3 เองยังกำหนดย่อยไปอีก 106 บริเวณ โดยบริเวณที่ ย.3-1 จะตั้งอยู่แถวๆ ดอนเมือง ส่วน ย.3-106 จะอยู่แถวๆ ทุ่งครุ เป็นต้น เริ่มงงมั้ยครับ ลองไปเปิดร่างผังเมืองใหม่ดู จะกำหนดไว้ในลักษณะนี้ทั้งนั้นครับ
          แต่เรื่องสำคัญไม่ใช่การลดจำนวนสีผังเมืองข้างต้นครับ สาระสำคัญก็คือ การเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินในแต่ละสี อย่าดูแค่สีครับ เพราะการใช้ประโยชน์อาจไม่เหมือนเดิม แม้สีผังเมืองจะยังเป็นสีเดิม เช่น แต่เดิมเคยก่อสร้างอาคารได้เท่านั้นเท่านี้ แต่ของใหม่อาจสร้างได้น้อยลงกว่าเดิม หรืออาจเหลือเพียงนิดเดียว หรือว่ากลับกันบางแห่งได้เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง แต่ข้อกำหนดไม่เปลี่ยน (ห้ามสร้างโน่น สร้างนี่เหมือนเดิม) ดังนั้นสาระสำคัญอยู่ที่ข้อกำหนดว่าแต่ละสี สามารถสร้างอะไรได้ หรือไม่ได้ครับ แต่อย่าเพิ่งตกใจครับ ติดตามกันต่อ

1.2 FAR และ OSR
          การเปลี่ยนแปลงที่ถือว่าสำคัญมาก ถือเป็นเรื่องหลักที่มีผลกระทบมากที่สุดในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือ เรื่อง FAR และ OSR เนื่องจากแต่เดิม FAR ได้กำหนดให้เป็น 10 เท่าทั่วทั้งกรุงเทพฯ แต่ผังเมืองใหม่ได้ถูกประกาศให้ FAR ลดลงเหลือ 8, 6, 5, 4, 3.5, 3, 2, 1.5 และ 1 ต่ำสุด โดยในเขตชั้นในจะมี FAR สูงสุด 10 เท่า และจะค่อยๆ ลดลงเมื่อห่างออกเขตชั้นในไปจนถึงชั้นนอกจนเหลือต่ำสุด 1 เท่า ตามร่างผังเมืองใหม่จะมีเพียงพื้นที่สีแดงย่านสีลม เพลินจิต เท่านั้นที่ FAR ยังคง 10 เท่าเช่นเดิม แต่ในพื้นที่อื่นๆ ส่วนใหญ่ล้วนแต่ลดลง โดยพื้นที่สีเขียวซึ่งตังอยู่ชั้นนอกจะมี FAR เหลือน้อยสุด (รวมทั้งพื้นที่สีเหลือง สีม่วงบางบริเวณ) สามารถก่อสร้างได้เพียง 1 เท่า เท่านั้น
          ขยายความของ FAR (Floor Area Ratio) หมายถึง สัดส่วนการก่อสร้างอาคารต่อพื้นที่ดินที่มี เช่น ถ้ามีที่ดิน 1 ไร่ จะสามารถก่อสร้างอาคารตามผังเมืองเดิมได้ 10 เท่า คือ 16,000 ตารางเมตร (1 ไร่ = 400 ตารางวา = 1,600 ตารางเมตร x 10 = 16,000 ตารางเมตร) แต่ต่อไปจะก่อสร้างกันได้น้อยลงตามสัดส่วน โดยถ้าเป็นพื้นที่สีเขียวที่เหลือแค่ 1 เท่า ที่ดิน 1 ไร่ก็จะสร้างกันได้เพียง 1,600 ตารางเมตร เท่านั้น หรือถ้ามีที่ดิน 100 ตารางวา ก็สร้างได้ 400 ตารางเมตร (1 ตารางวา = 4 ตารางเมตร) เป็นต้น
          แต่อย่าได้ตกใจไปเลย ครับ เพราะว่าการกำหนด FAR นั้นผมเห็นว่าน่าจะมีความเหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่หรือสอดคล้องกับความต้องการก่อสร้างในปัจจุบัน ตามทำเลต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอก เช่น พื้นที่ที่กำหนดไว้ให้สร้างได้แค่ 1 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่รอบนอกไกล ๆ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องสร้างกัน 10 เท่าอยู่แล้ว เท่านั้น ทุกวันนี้เรายังสร้างกันไม่ถึง 1 เท่ากันเลย เช่น พื้นที่ ย.1 แถวๆ ถนนหทัยราษฎร์ ถ้ามีที่ดิน 100 ตารางวา เราก็สร้างบ้านกันแค่ 200-300 ตารางเมตรเท่านั้นเอง (ตาม FAR 1 เท่า สร้างได้ 400 ตารางเมตร) ยกเว้นบางพื้นที่เท่านั้นที่มีการกำหนดอาจไม่ค่อยสอดคล้องกับศักยภาพพื้นที่ เช่น แถวๆ สุขุมวิท 71 คลองตัน ถนนรัชดาภิเษกฝั่งตะวันออก (พื้นที่ ย.6, ย.7) ที่กำหนด FAR แค่ 4.5-5.0 เท่า แต่ศักยภาพพื้นที่น่าจะมีถึง 8-10 เท่าเลย
          แต่ถ้าเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน ส่วนใหญ่ก็มี FAR 6-8 เท่า (ดูเหมือนลดลงไม่มาก) แต่กลับจะส่งผลกระทบมากกว่า เพราะในเขตชั้นในนั้นศักยภาพจะเหมาะกับอาคารสูง (เกิน 23 เมตร) อาคารขนาดใหญ่ (เกิน 2,000 ตารางเมตร) ขนาดใหญ่พิเศษ (เกิน 10,000 ตารางเมตร) ถ้า FAR ลดลงจาก 10 เหลือ 8 จะมีผลกระทบที่ชัดเจนมากกว่า โดยแต่ละ FAR ที่ลดลง คาดว่าจะมีผลต่อราคาที่ดินที่ลดลงประมาณ 15-25% ดูตัวอย่าง ตามตารางที่ 3
          ขยายความหมายของ OSR (Open Space Ratio) บ้าง OSR หมายถึง สัดส่วนพื้นที่ว่างของที่ดินต่อพื้นที่ก่อสร้าง ซึ่งข้อกำหนดนี้แต่เดิมไม่มีการกำหนดไว้ แต่ตามผังเมืองใหม่จะมีกำหนดไว้ ตั้งแต่ 3-40% โดยในเขตชั้นในจะมี OSR ต่ำ ส่วนในเขตชั้นนอกจะมี OSR สูง ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าจะก่อสร้างอาคารขนาด 16,000 ตารางเมตร แต่เดิมใช้พื้นที่เพียง 1 ไร่ (หรือ 400 ตารางวา) แต่ถ้าตามผังเมืองใหม่บริเวณนั้น ถูกกำหนดให้มี OSR = 10% แสดงว่าต้องมีที่ดินว่าง (ไม่มีอาคารปกคลุม) 10% ของพื้นที่อาคารคิดเป็น 1,600 ตารางเมตร (16,000 x 10%) หรือ 400 ตารางวา (4 ตารางเมตร =1 ตารางวา) ซึ่งจะทำให้ต้องใช้ที่ดินเพิ่มขึ้น ถ้าจะก่อสร้างอาคารให้ได้เท่าเดิม โดยแต่เดิมที่ใช้เพียง 400 ตารางวา ต้องเพิ่มเป็น 680 ตารางวา แทน (ไม่ได้เพิ่มเป็น 800 ตารางวาเพราะแต่เดิมก็ต้องมีที่ว่าง 30% = 120 ตารางวา ตาม พรบ.ควบคุมอาคารอยู่แล้ว จึงเพิ่มแค่ 280 ตารางวา) โดยพื้นที่สีเขียว จะถูกกำหนดให้มี OSR สูงสุด คือ 40% (รวมทั้งสีเหลือง สีม่วง บางบริเวณ)
          ที่นี้มาว่ากันถึงผลกระทบของ OSR โดยถ้าเป็นในเขตชั้นนอก จะมีผลก็ต่อเมื่อจะสร้างอาคารตั้งแต่ 3 ขึ้นไป (ส่วนอาคาร 1-2 ชั้น จะไม่มีผล เพราะแต่เดิมก็ต้องมีการเว้นที่ว่างไว้เพียงพอตามกฎใหม่ (ดูตัวอย่างตามตารางที่ 4) แต่ส่วนใหญ่ในเขตชั้นนอก ก็จะก่อสร้างกันแค่ 1-2 ชั้นไม่เกินอยู่แล้ว ดังนั้น OSR จะแทบจะไม่มีผลกระทบ แต่ถ้าเป็นเขตชั้นในจะมีผลกระทบมาก เพราะศักยภาพพื้นที่เหมาะกับอาคารขนาดใหญ่ อาคารสูง ทำให้ต้องมีพื้นที่โล่ง ไม่มีอาคารปกคลุมมากขึ้น ส่งผลต้องเพิ่มที่ดินในการพัฒนาโครงการมากขึ้น ต้นทุนจะสูงขึ้น
          แต่ทั้ง FAR และ OSR ไม่บังคับใช้กับการก่อสร้าง "บ้านเดี่ยว" ในผังเมืองทุกประเภท ส่วนบ้านแฝดจะไม่บังคับใช้กับผังเมืองบางบริเวณ หมายความว่า ท่านสร้างบ้านเดี่ยวได้ตามเต็มที่ตามปกติ
          ที่ว่ามาข้างต้น ถ้าจะนับเฉพาะผลกระทบต่อชาวบ้านทั่วไป ก็ไม่น่าจะมีผลต่อขนาดที่จะก่อสร้างมากนัก ในทางตรงกันข้ามผมว่ากลับจะเป็นผลดีมาก ๆ ต่อชาวบ้านแบบเรา ก็คือ ต่อไปเราจะมีความแออัดน้อยลง มีพื้นที่โล่งมากขึ้น มีพื้นที่ให้ปลูกต้นไม้กันมากขึ้นแม้ในอาณาเขตบ้านเราเอง ทำให้เมืองน่าอยู่มากขึ้น อยากได้กันไม่ใช่หรือครับ แต่เราอาจต้องซื้อแพงขึ้นก็ได้ ประเด็นนี้ต้องติดตามต่อครับ
          ส่วนในภาคธุรกิจ การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะส่งผลทำให้มีต้นทุนสูงขึ้นจากการที่ต้องเพิ่มที่ดินเป็นที่โล่งมากขึ้นในการพัฒนาโครงการหนึ่ง ๆ แต่แน่นอนว่า เจ้าของโครงการคงจะไม่แบกภาระนี้ไว้เองแน่ คงต้องไปเพิ่มราคาขายจากต้นทุนที่สูงขึ้น ประมาณ 10-30% (ก่อนการแก้ไข) แต่ก็ได้มีการแก้ไขเพิ่ม FAR และ ลด OSR ให้เหมาะสมตามศักยภาพพื้นที่ ทำให้มีผลต่อราคาขายน้อยมาก ทำให้มีผลกระทบต่อบางทำเลเพียง 5% เท่านั้น ส่วนใหญ่แทบไม่มีผลต่อราคาขายเลย (ตามตารางที่ 4)
          แต่ผู้ที่เดือดร้อนแน่ๆ ก็คือ ท่านเป็นเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่ๆ โดยเฉพาะในเขตชั้นนอก ที่กักตุนไว้เพื่อการพัฒนาโครงการอาคารขนาดใหญ่ เช่น ศูนย์การค้า หรือโครงการใหญ่ งานนี้หนาวแน่ครับ เพราะว่าท่านจะไม่สามารถสร้างอาคารเกิน 2,000 ตารางเมตร (ขนาดเท่ากับตึกแถว 4 ชั้น 10 คูหาเองครับ) เช่น ถ้าที่ดินท่าน 10 ไร่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ ย.3 จะมี FAR แค่ 2.5 เท่า ก็ควรจะสร้างได้ตาม FAR ตั้ง 24,000 ตารางเมตร (10 x 1,600 x 2.5 = 40,000) แต่ขอโทษครับ พื้นที่ ย.3 เขาห้ามสร้างอาคารขนาดใหญ่ ท่านก็สร้างได้ไม่เกิน 2,000 ตารางเมตรเท่านั้นครับ จะลงทุนคุ้มมั้ยละครับ แต่โครงการที่อยู่อาศัยในแนวราบ หรือ บ้านจัดสรร จะมีผลกระทบน้อยมากตามที่ว่าไว้แล้ว เพราะสร้างบ้านหลังหนึ่งแค่ 200-400 ตารางเมตรเอง ไม่มีปัญหา
          แล้วถ้ามี 10 ไร่ ในเขตชั้นกลาง จะสร้างได้มากขึ้น เพราะจะเริ่มอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษกันได้ และ FAR ก็มากขึ้น 3-6 เท่า (ขยายความต่อในข้อ 1.3)
          ข้างต้นนี้เป็นการอธิบายเพื่อความเข้าใจในการดูผังเมืองใหม่ โดยในแต่ละพื้นที่ จะมีการกำหนด FAR และ OSR แตกต่างกันไป และโดยสรุปก็คือ พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอกจะมี FAR ต่ำ OSR สูง แต่เมื่อเข้ามาในชั้นกลาง ชั้นใน จะมี FAR เพิ่มขึ้น และ OSR ลดลง (ดูตารางที่ 6)

1.3 การห้ามก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ
          แต่เดิมบางบริเวณในพื้นที่สีเหลือง จะสามารถก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ ไม่เกิน 10,000 ตารางเมตรได้ แต่ในรอบใหม่ส่วนใหญ่สร้างได้ไม่เกิน 2,000 ตารางเมตร จะเกินได้ในพื้นที่ ย.4 และต้องมีถนนกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร ซึ่งแทบไม่เจอว่ามีแถวไหนบ้าง
          ส่วนในพื้นที่สีส้ม ส่วนใหญ่สร้างอาคารอยู่อาศัยได้ไม่เกิน 10,000 ตารางเมตร (ถ้าจะเกินต้องมีถนนกว้างไม่น้อยกว่า 16 เมตรบ้าง 30 เมตรบ้าง)
          ส่วนพื้นที่สีน้ำตาล อาคารอยู่อาศัยสร้างได้ทุกขนาด แต่อาคารพาณิชยกรรมสร้างได้ไม่เกิน 10,000 ตารางเมตร (ถ้าจะเกินถนนต้องกว้าง 30 เมตร)
          ซึ่งข้อจำกัดเกี่ยวกับความกว้างถนนข้างต้น ในเขตกรุงเทพฯ โดยเฉพาะชั้นในส่วนใหญ่ถนนกว้างขนาดนี้ก็มีน้อยกว่า ยิ่งในซอยต่าง ๆ หมดสิทธิ์ครับ ส่วนในเขตชั้นในจริง ๆ (พื้นที่ พ.3-พ.5) ก็สามารถสร้างได้เพราะ FAR 6-10 เท่า และไม่มีข้อจำกัดเรื่องความกว้างถนน แต่ตาม พรบ.ควบคุมอาคาร จะสร้างอาคารขนาดใหญ่พิเศษ (เกิน 10,000 ตารางเมตร) ถนนต้องกว้างเกิน 10 เมตรอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ซอยเล็กกว่า 10 เมตร ก็แห้วมาแต่เดิมแล้วครับ

1.4 โบนัส ซิสเต็ม (เพิ่มให้ล่าสุด)
          จากที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไข ล่าสุดได้มีการกำหนดให้โบนัส กับอาคารขนาดใหญ่ในทุกพื้นที่ คือ ถ้าเจ้าของอาคารขนาดใหญ่ มีพื้นที่สีเขียวและที่ว่างที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ หรือก่อสร้างที่จอดรถสาธารณะมากกว่าที่กฎหมายกำหนด และเปิดให้คนทั่วไปสามารถเข้าไปจอดรถได้ (ก่อสร้างที่จอดรถ 1 คัน มีโบนัสให้เพิ่มขนาดอาคารได้ 30 ตารางเมตร) ผังเมืองจะมีโบนัสให้ โดยจะสามารถก่อสร้างอาคารได้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่เกิน 20% ของ FAR เดิม
          แล้วถามว่าคุ้มที่จะสร้างมั้ย ก็ต้องเทียบกับต้นทุนในการลงทุนของโครงการแต่ละประเภทกับราคาขาย เนื่องจากจะต้องมีต้นทุนส่วนเพิ่มจากการก่อสร้างที่จอดรถเพิ่ม โดยต้นทุนค่าก่อสร้างอาคารจอดรถ 1 คัน ต้องใช้พื้นที่ประมาณ 25 ตารางเมตร ค่าก่อสร้างตารางเมตรละ 7,450 บาท (อ้างอิงตามมาตรฐานสมาคมฯ ผู้ประเมิน 2547 ประเภทอาคารจอดรถบนดิน) เป็นเงิน 186,250 บาท เฉลี่ยต่อพื้นที่ที่ก่อสร้างเพิ่มได้ 30 ตารางเมตร โดยพื้นที่ขายประมาณว่า 70% เหลือไว้ 30% เป็นพื้นที่ที่ขายไม่ได้ เช่น ทางเดิน คิดเป็นพื้นที่ขาย 21 ตารางเมตร ก็จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างที่จอดรถเฉลี่ยต่อพื้นที่ขายตารางเมตรละ 8,869 บาท (=186,250/21) ถ้าเป็นกรณีการขายพื้นที่ เช่น คอนโดฯ หรือถ้าเป็นการเช่าจะเฉลี่ยต้นทุนลงไปในค่าเช่ารายเดือนๆ ละ 40 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือน เช่น อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ฯลฯ
          ซึ่งต้องนำต้นทุนส่วนเพิ่มข้างต้นไปรวมกับต้นทุนปกติ ของอาคารแต่ละประเภทจะมีต้นทุนการก่อสร้างปกติอยู่แล้ว และนำไปเทียบกับราคาขาย ว่าจะคุ้มหรือไม่ แสดงตัวอย่างอาคาร 3 ประเภท ดังนี้
ตารางที่ 2 : การประมาณการต้นทุนโครงการ ในกรณีก่อสร้างเพิ่ม จากการได้รับโบนัสซิสเต็ม
รายการคอนโดฯอาคารสำนักงาน
ศูนย์การค้า
26-35 ชั้น21-36 ขั้น> 4 ชั้น
ค่าก่อสร้างปกติ ต่อพื้นที่ก่อสร้าง (บาท/ตรม.)
24,600
27,400
21,160
เฉลี่ยต่อพื้นที่ขาย (50% ของพื้นที่ก่อสร้าง)
49,200
      54,800    42,320
ค่าการขาย ดำเนินการต่าง ๆ (บาท/ตรม.)
10,000
      10,000    10,000
ค่าก่อสร้างที่จอดรถเพิ่ม (บาท/ตรม.)
8,869
      8,869    8,869
รวมต้นทุนต่อตารางเมตร –กรณีขาย
68,069
      73,669    61,189
ถ้าเป็นกรณีเช่า (บาท/ตรม./เดือน)                        308                    333                    277
เทียบกับราคาขาย – เขตกรุงเทพฯ ชั้นใน        40,000-60,000
50,000-70,000
> 100,000
เทียบกับค่าเช่า –เขตกรุงเทพฯ ชั้นใน                        ***
400-600
1,500-2,000
หมายเหตุ :
          1. ค่าก่อสร้างข้างต้น อ้างอิงตามมาตรฐานสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ปี 2547
          2. ต้นทุนข้างต้นไม่รวมค่าที่ดิน เนื่องจากเป็นการให้โบนัสก่อสร้างอาคารเพิ่มบนที่ดินที่มีเท่าเดิม
          จากตารางจะเห็นได้ว่า ถ้าเป็นอาคารในเขตชั้นใน คอนโดฯ กับ อาคารสำนักงานอาจไม่คุ้มที่จะก่อสร้าง แต่ถ้าเป็นศูนย์การค้า จะคุ้มเนื่องจากมีราคาขาย (เซ้ง) หรือเช่า สูงกว่าต้นทุนมาก

1.5 การเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน อื่นๆ 
          1.5.1เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ตามสีผังเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงจากแนวคิดเดิมเล็กน้อย หรือถ้ากล่าวในทางบวกก็ต้องบอกว่าที่มีการยืดหยุ่นมากขึ้น (แต่ถ้าเป็นทางลบ ก็อาจถามได้ว่าจะเอาไงแน่)
          • เช่น แต่เดิม ถ้าเป็นพื้นที่สีเขียว เป็นที่รู้กันว่าจะไม่สามารถก่อสร้างตึกแถว และทาวน์เฮาส์ได้ (สร้างได้แต่บ้านเดี่ยว) แต่ในรอบนี้จะมีพื้นที่สีเขียว
          บางแห่งที่เป็นบริเวณ ก.4 จะสามารถก่อสร้างได้ด้วย แต่พื้นที่ ก.4 มีน้อยมากครับ โดยมีแค่แถว ๆ ตลิ่งชัน และบางขุนเทียน
          • กลับกันถ้าเป็นพื้นที่สีเหลือง แต่เดิมจะสร้างบ้านอยู่อาศัยได้ทุกประเภททั้ง บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ตึกแถว ทาวน์เฮาส์ แต่ในรอบนี้พื้นที่สีเหลือง
          บางบริเวณก็ไม่สามารถสร้างตึกแถว ทาวน์เฮาส์ได้ คือ บริเวณ ย.1 และ ย.2 แต่พื้นที่ ย.1 และ ย.2 ก็มีน้อย แค่แถว ๆ ถนนหทัยราษฎร์
          รัตนโกสินทร์สมโภช ร่มเกล้า ทุ่งครุ
          1.5.2พื้นที่การใช้ประโยชน์เพื่อกิจการอื่น เรื่องนี้ส่วนใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง บางท่านอาจเคยมีคำถามว่าบางพื้นที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นที่อยู่อาศัย แต่ทำไมเห็นมีศูนย์การค้า สร้างขึ้นมาได้ นั่นเป็นเพราะว่าตามข้อกำหนดของผังเมืองแต่ละสี จะมีข้อยกเว้นให้ประโยชน์เพื่อกิจการอื่น (ที่ไม่ได้ห้ามไว้) ประมาณ 5-10% ของพื้นที่แต่ละบริเวณ (คำว่าบริเวณ หมายถึง พื้นที่ที่มีการกำหนดไว้เป็นกลุ่มๆ เช่น ย.3-100 ถ้ากลุ่มบริเวณนี้มีพื้นที่รวมทั้งหมด 1,000 ไร่ จะใช้ประโยชน์เพื่อกิจการอื่นได้ 50-100 ไร่เลยครับ ซึ่งใครขออนุญาตก่อนก็ได้ก่อน (ไม่ได้หมายความว่าถ้าเรามีที่ดินแปลงหนึ่งขนาด 10 ไร่ใช้ประโยชน์เพื่อกิจการอื่นได้เพียง 1 ไร่ ในที่ดินของเราเองน้ะครับ แต่หมายถึงเราสามารถสร้างได้ทั้ง 10 ไร่เลย ถ้าเราไปขออนุญาตก่อน และโควต้า 5-10% ยังเหลือ และปัจจุบันโควต้า 5-10% เพื่อกิจการอื่นยังเหลืออีกมากครับ ตรวจสอบได้ฝ่ายผังเมือง กรุงเทพมหานคร ดินแดง)
          1.5.3 พื้นที่รอบสถานีรถไฟฟ้าฯ ในรัศมี 500 เมตร ในผังเมืองแต่ละประเภทได้มีการกำหนดไห้สามารถก่อสร้างอาคารอยู่อาศัย พาณิชยกรรม และสำนักงาน ได้มากกว่าปกติ แต่ต้องมีถนนกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร 16 เมตร หรือ 30 เมตร ขึ้นอยู่ผังเมืองประเภทต่าง ๆ

(มีต่อ : ส่วนที่ 2 : ผลกระทบต่อราคาอสังหาริมทรัพย์ และราคาที่ดิน)


แหล่งที่มา : http://www.thaiappraisal.org/thai/market/market_view.php?strquery=market56.htm